คำ ผกา : สะหมง-สะหมอง อยู่ไหน?

คำ ผกา

ถ้าเรามีปัญหาไม่อยากเห็นเด็กในชุดนักเรียน หรือนิสิต-นักศึกษาในชุดนิสิต ไปทำอะไรที่ไม่เหมาะสม เช่น ไปพลอดรัก ไปเดินจูงมือกันในห้าง ไปนั่งดื่มเบียร์

หรือแม้กระทั่งไปคุยกันโหวกเหวกโวยวาย กิริยามารยาทไม่เรียบร้อย ขัดหูขัดตายิ่งนัก

และเรามักได้ยินผู้ใหญ่ที่หวังดีทั้งหลายพูดว่า “เด็กพวกนี้จะทำอะไร ทำไมไม่แคร์เครื่องแบบที่ตัวเองใส่บ้างเลย?” หรือ “จะทำอะไรก็ต้องให้เกียรติเครื่องแบบ ให้เกียรติสถาบันที่ตัวเองสังกัดด้วย”

หากมีความกังวลเรื่องนี้ ก็มีผู้หวังดีอีกหลายคนเสนอว่า – เออ…ถ้าอย่างนั้นก็ยกเลิกเครื่องแบบนักเรียน ยกเลิกเครื่องแบบนักศึกษาสิ

เมื่อไม่มีเครื่องแบบ เด็กจะไปเดินจูงมือกัน จะไปกอด จูบ พลอดรักกัน หรือแม้กระทั่งจะไปถ่ายรูปโฆษณาอาชีพไซด์ไลน์ ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยที่ตนเองสังกัด

นึกออกไหม สมมุติเราเห็นเด็กผู้หญิงใส่ชุดนักศึกษา มีเข็ม มีหัวเข็มขัด บอกชื่อมหาวิทยาลัยชัดเจน สิ่งแรกที่เรากังวล เราไม่ได้กังวลเรื่องเด็กขายตัว

แต่เรากังวลว่ามหาวิทยาลัยจะเสียชื่อเสียง ผู้บริหารมหาวิทยาลัยจะเสียชื่อเสียง ครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนั้นก็เดือดร้อน

ไม่ได้เดือดร้อนเพราะเป็นห่วงเด็ก แต่เดือดร้อนเพราะหน้าชา เพราะอาย เพราะรู้สึกเสียชื่อเสียง รู้สึกแปดเปื้อน รู้สึกว่าศักดิ์ศรี เกียรติยศของมหาวิทยาลัยถูกทำลาย

นี่คือความประหลาดของสังคมไทยเวลาที่เรากังวลกับประเด็นปัญหาอะไรสักอย่างในสังคม แทนที่เราจะพยายามแก้ไขปัญหานั้น แต่เราจะทุ่มเทพลังไปกับการกังวลเรื่องการเสียหน้า เสียภาพลักษณ์ เสียชื่อเสียง

เช่น ปัญหาอุตสาหกรรมทางเพศในเมืองไทย เวลาที่สื่อต่างประเทศเขียนบทความบอกว่า ประเทศไทยมีอุตสาหกรรมทางเพศที่ใหญ่อันดับต้นของโลก บ้างก็พูดเว่อร์ๆ ว่าเป็นซ่องของโลก

สิ่งแรกที่คนไทยจะปริวิตกและกรี๊ดกร๊าดคือ – พูดแบบนี้ได้ยังไง ไม่จริ๊ง ไม่จริง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต้องไปชี้แจงเรื่องนี้กับโลกนะว่าเมืองไทยเรามีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ งามๆ เยอะแยะ มีวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม เราเป็นเมืองพุทธ เรามีอะไรดีๆ เยอะแยะ ทำไมต้องมาว่าเรา ดูประเทศญี่ปุ่นมีทั้งหนังโป๊เรื่องลามกจกเปรตวิตถารอะไรเยอะแยะ ทำไมไม่มีใครว่า เอะอะมาว่าเมืองไทย

บลา บลา บลา

ซึ่งฟังแล้วก็ต้อง เอ๊า! แทนที่จะมานั่งดูว่า เออ ไอ้ที่เขาพูดเรื่องอุตสาหกรรมทางเพศในเมืองไทยนั้นมันจริงไหม?

มีการค้ามนุษย์อยู่ในนั้นเท่าไหร่ มีอุตสาหกรรมสีเทาๆ ผิดกฎหมาย ไม่ใช่ถูกกฎหมาย ไม่เชิงเท่าไหร่ มีการจ่ายส่วย คอร์รัปชั่นอย่างไร?

พลวัตของอุตสาหกรรมนี้เป็นอย่างไร มีเม็ดเงินเท่าไหร่ และท้ายที่สุดเราจะ “จัดการ” เรื่องนี้อย่างไร?

เราควรคิดเรื่องการ regulate อุตสาหกรรมนี้ไหม จะยกเอาอุตสาหกรรมนี้มาไว้บนดินไหม?

เก็บภาษีและคุ้มครองบุคลากรในอุตสาหกรรมนี้ในฐานะที่เป็นแรงงานในระบบดีกว่าไหม? เพื่อจะได้ดูแลได้ทั้งเรื่องสุขอนามัย สุขภาพ และทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการก็ควรได้รับการปกป้องดูแล

อย่าคิดว่าผู้ซื้อบริการต้องเป็นคนชั่ว คนเลว เพราะท้ายที่สุด หากมันเป็นธุรกิจ ผู้ซื้อบริการก็ควรได้รับการคุ้มครองในฐานะผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ

แต่ถามว่าการแก้ปัญหาแบบนี้จะเกิดขึ้นในสังคมไทยไหม ไม่ แต่เรื่องซ่อง เรื่องขายบริการทางเพศ เรื่องยา เรื่องบ่อน เรื่องการพนัน เรื่องหวยใต้ดิน เพราะปฏิกิริยาอัตโนมัติของสังคมต่อเรื่องนี้คือ กรี๊ดกร๊าด กระตู้วู้ รับไม่ได้ไว้ก่อน – ไม่มี ไม่จริง ไม่เชื่อ

ถ้ามีก็ต้องจับกุม กวาดล้าง กำจัด เอาไปฆ่า เอาไปประหารชีวิต

ระหว่างจับกุม กวาดล้าง ไม่ได้ ก็กวาดปัญหาทุกปัญหาไว้ใต้พรม ซ่อนขยะไว้ไม่ให้ใครเห็น เพราะเรื่องใหญ่คือความขายขี้หน้า ไม่ใช่เรื่องคุณภาพชีวิต

กลับมาที่ความพยายามของกระทรวงศึกษาธิการที่ไปแก้ไขกฎกระทรวง 3 ข้อ และมีแม้กระทั่งการห้ามการแสดงพฤติกรรมชู้สาว ไม่ว่าจะเป็นที่สาธารณะหรือที่รโหฐาน

ใครก็รู้ว่า ไม่มีครู ไม่มีข้าราชการกระทรวงศึกษาฯ หรือสารวัตรนักเรียนคนไทยสามารถตามติดชีวิตนักเรียนทุกคนในประเทศไทย 24 ชั่วโมงจนกระทั่งตามไปดูถึงในห้องนอนของทุกคนว่าพวกเขาได้แสดงพฤติกรรม “ชู้สาว” หรือไม่อย่างไร

ดังนั้น กฎข้อนี้จึงเป็นกฎที่เขียนมาโดยไม่คำนึงความเป็นจริงที่มันไม่มีทางปฏิบัติได้จริง

ณ ขณะจิตนี้ หากจะมีนักเรียนสองคนจูงมือกันไป “ชู้สาว” กันในบ้าน ในห้องนอนใครสักคน ถามว่า พวกคุณตามติดกล้องวงจรปิดที่ห้องนอนของนักเรียนทุกคนในประเทศไทยได้งี้?

รู้ทั้งรู้ว่าทำไม่ได้แล้ว ออกมาเป็นกฎทำไม? ออกมาเป็นกฎ ก็เพื่อจะให้สังคมนี้รับรู้และเข้าใจเหมือนเรื่องซ่อง เรื่องหวย เรื่องบ่อน ว่า สังคมไทยในอุดมคติ และคนไทยในอุดมคติ คือสังคมสวยใสไร้มลทิน บ้านเมืองเราจะไม่มีซ่อง ไม่มีบ่อน ไม่มีเซ็กซ์นอกสมรส ไม่มีการพนัน ไม่มีคนพูดจาไม่เพราะ สังคมไทยเป็นเหมือนภาพโปสเตอร์โฆษณาการท่องเที่ยวไทย หรือการบินไทย ที่ตอนเช้าคนออกไปตักบาตร ไหว้พระ ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส มีน้ำใจ

ขณะเดียวก็สนุกสนาน ครอบครัวแบบไทยๆ ก็รักกัน อบอุ่น มีปู่ ย่า ตา ยาย ปั้นวัว ปั้นควายกับหลาน เด็กนักเรียนไทยก็น่ารัก เรียบร้อย ยิ้มสวย ไหว้สวย มารยาทงาม แต่งเครื่องแบบ นักเรียน นักศึกษาเป็นระเบียบ เชื่อฟัง กตัญญู เคารพผู้ใหญ่ อ่อนน้อม

งานที่สำคัญที่สุดของรัฐราชการไทยคือ ผดุงไว้ซึ่งภาพลักษณ์อันนี้ไม่ให้สูญสลายไปไหน ความจริงจะเป็นยังไงเป็นอีกเรื่อง แต่นี่คือนิยามแห่งความเป็นไทยที่ต้องรักษาเอาไว้จนสุดชีวิต

ดังนั้น เราจึง legalized การค้าบริการทางเพศไม่ได้ legalized ธุรกิจการพนันไม่ได้ หวยใต้ดินที่เคยได้มาอยู่บนดินก็ต้องกลับไปใต้ดินเหมือนเดิม

drug ก็เข้าไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แม้แต่สิ่งที่กลายเป็นเทรนด์การบริโภคใหม่ของโลกอย่างกัญชา ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถขับเคลื่อนอะไรให้ไกลไปกว่าการพูดว่า “พยายาม” อย่าว่าแต่ legalized แต่ decriminalized ก็ยังทำไม่ได้

ทั้งหมดนี้เพราะสังคมไทยถูกหล่อหลอมมาให้รังเกียจความจริง และหลงใหลในการหลอกตนเอง ยึดติดกับสิ่งที่ตนเอง “คิด” มากกว่าสิ่งที่ตนเอง “เป็น”

เช่นเมืองไทยที่ตนเองคิดคือ ภาพบ้านเมืองที่มียอดเจดีย์สีทองอร่ามสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้า รอยยิ้มอันสดใสของผู้คน รถตุ๊กตุ๊กที่สนุกสนานมีชีวิตชีวา รถเข็นขายหอยทอด-ผัดไทยเสียงดังฉี่ฉ่าควันฉุย มีเด็กเกล้าผมจุก นุ่งโจงกระเบน

แต่เมืองไทยที่เป็นอยู่จริงคือ เมืองที่ผังเมืองพังแบบเละตุ้มเป๊ะ รถติดวินาศสันตะโร ตุ๊กตุ๊กหลอกนักท่องเที่ยว คลองน้ำครำ การกวาดล้าง จัดระเบียบหาบเร่-แผงลอย วัดที่มีคดีความการโกงเงิน ข่าวพระเสพยา พระโชว์กิจกรรมอันไม่เหมาะสมในโลกโซเชียล ฯลฯ

ไม่เพียงแต่ไม่ยอมรับความจริง สังคมไทยและคนไทยยังกลัวการเปิดโปงความจริง และเชื่อว่าหนทางที่เราจะอยู่รอดคือ อย่าให้ใครรู้ว่าบ้านเมืองเรามีเรื่องพวกนี้

หรือถ้าจะรู้ก็รู้กันเองในหมู่พวกเรา และหน้าที่ของพวกเราคือปกป้องชื่อเสียงของประเทศชาติด้วยการกวาดเรื่องนี้ไว้ใต้พรมให้หมด

แล้วถ้ามีสื่อไทย คนไทย พยายามพูดเรื่องนี้ก็ไปฟ้องร้องคนเหล่านั้นเสีย ข้อหาทำลายชื่อเสียงและธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศ

เรื่องเพศ เรื่องชู้สาวของนักเรียนก็เช่นกัน นอกจากเราจะไม่มีวันคิดเรื่องยกเลิกเครื่องแบบ เราก็จะไม่มีวันคิดเรื่องสอนเพศศึกษา และเพศวิถีกับนักเรียนอย่างไรให้เขารับมือกับชีวิตทางกามารมณ์ของพวกเขาด้วยสติ ด้วยปัญญา และมีวุฒิภาวะในเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเอง

สิ่งที่เราทำคือ ต้องสะกดจิตให้ตนเองเชื่อให้ได้ว่า เซ็กซ์ของนักเรียน “ไม่มีอยู่จริง”

และถ้ามี สิ่งนั้นคือ “อาชญากรรม” เป็นความผิดอย่างไม่มีเงื่อนไข

ต้องถูกระงับยับยั้งอย่างสิ้นเชิง

ใครก็ตามที่เป็นนักเรียน ห้ามคิดเรื่องชู้สาวเด็ดขาด

เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เรามีประชากรท้องวัยทีน มีวัยรุ่นทำแท้งเถื่อน มีนักเรียนที่แสดงความคึกคะนองทางเพศแบบประหลาดๆ ในโลกโซเชียลอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์

หรือทำออกมาเพื่อต่อต้านผู้ใหญ่อย่างไร้เดียงสาเต็มไปหมด

และที่เป็นเช่นนี้ เพราะเรามัวแต่จะเอาปัญหาไปซ่อน แล้วหลอกตัวเองด้วยการฉายสปอตไลต์ไปที่เด็ก “ดี” แล้วบอกว่า นี่แหละคือสังคมไทยที่แท้ทรู

แทนการเขียนกฎกระทรวงเพื่อผดุงการหลอกตนเองไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กระทรวงศึกษาธิการต้องให้การศึกษาตนเองในเรื่องเพศ เรื่องเพศวิถีแบบอารยชนเสียก่อน

จากนั้นพึงปฏิรูปการสอนเพศศึกษาในการศึกษาไทยทั้งหมด และเริ่มเห็น “นักเรียน” เป็น “คน” ที่มีความคิด มีสมอง อันกระทรวงศึกษาธิการมีหน้าที่มอบ “การศึกษา” ซึ่งแปลว่า เครื่องมือในการแสวงหาความรู้ และเพิ่มศักยภาพในการคิดอย่างเป็นระบบ

สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการศึกษาคือการปฏิบัติต่อเด็กด้วยความเคารพต่อความเป็นมนุษย์ของพวกเขา อันเป็นสิ่งที่เรายังหาไม่เจอในระบบการศึกษาไทย

กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ออกมาจึงเป็นความพยายามจะทำเด็กให้เชื่องมากกว่าสร้างเด็กให้รู้วิธีที่จะใช้สมองในการดำเนินชีวิตอย่างฉลาดและมีวุฒิภาวะตามวัยของพวกเขา

ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตากวาดขยะไว้ใต้พรม แล้วหลอกตัวเองว่าบ้านเราสะอาดมากต่อไป