คุณชายดิศนัดดา ดิศกุล พาซีอีโอ “ศุภชัย” เดินดิน ขึ้นดอย กระตุกต่อมคิด “Care&Share” สังคม

แม้วัยจะก้าวเข้าสู่เลข 8 แล้วก็ตาม แต่ “คุณชายดิศ” หรือ “ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล” ประธานกรรมการสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ ยังทำงานแบบ “กัดไม่ปล่อย” หรือ “เอาจริงเอาจัง” แม้จะต้องบุกป่า ฝ่าดง ขึ้นดอย ลงชายแดน 3 จังหวัดภาคใต้

ไม่เท่านั้น เขายังชักชวนภาคธุรกิจและภาคเอกชนต่างๆ มาร่วมมือกันภายใต้ชื่อ “ทีมดี (Development)” ในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้าน ชุมชน เกษตรกรให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น

“คุณชายดิศ” กล่าวไว้ในช่วงหนึ่งของงานสัมมนาประชาชาติธุรกิจ “SDGs ก้าวใหม่ธุรกิจไทย จากทุนหมู่บ้าน ถึงกระดานหุ้นโลก” ที่มีศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมวงสนทนาอยู่ด้วยว่า จะทำอย่างไรให้ภาคธุรกิจคิดถึงชุมชน ชาวบ้าน เกษตรกรให้มากขึ้น

“ผมคิดว่าถ้าเราเพิ่มมุมมองเกี่ยวกับชุมชน ชาวบ้าน เกษตรกร โดยเอาใจเขามาใส่ใจเรา และเอาใจเราไปใส่ใจเขาอีกนิดหนึ่ง พร้อมทั้งกระตุกต่อมคิดให้กับภาคเอกชนเห็นความสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน จะทำให้เขามีมุมมอง มีความคิดแบบองค์รวมมากขึ้น เห็นปัญหาที่รอบด้านมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals – SDGs) ทั้ง 17 เป้าหมาย”

“แม้ว่าภาคเอกชนเหล่านั้นมีการทำงานหลากหลายรูปแบบเพื่อให้เกิดความยั่งยืนก็ตาม แต่ผมมองว่าเป็นเพียงด้านเดียวเท่านั้น เพราะอีกฟากหนึ่งที่เป็นความเข้าใจ ความตระหนักรู้ ความรับรู้ต่างๆ ของคนทั้งโลกต่างเห็นด้วยกับ SDGs ด้วยการทำจากล่างขึ้นบน ไม่ใช่ทำจากบนลงล่างเหมือนแต่ก่อน ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน”

“เพราะวันนี้โลกเปลี่ยนไป แม้ว่าจะมีแนวคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม การช่วยเหลือสังคม แบ่งปัน คืนกำไร แต่ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงการเสริมภาพลักษณ์เท่านั้น เหมือนแต่งหน้า ทาปาก เขียนคิ้ว ปัดแก้ม ซึ่งไม่ได้มาจากวิญญาณ แต่การที่เราจะแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคม รวมถึงการทำ SDGs ให้สำเร็จนั้นต้องมาจากใจ และผมขอย้ำเลยว่าศตวรรษที่ 21 นี้ Care and Share เป็นเรื่องสำคัญมาก”

 

“คุณชายดิศ” ขยายความต่อว่า ถ้าเอาซีพีเป็นตัวตั้ง แล้วคุณศุภชัย (ศุภชัย เจียรวนนท์) ไปพูดกับชาวบ้านว่าเราจะมาทำแบบนี้ ทำแบบนั้น คิดว่าชาวบ้านเหล่านั้นจะไม่เชื่อ เพราะส่วนใหญ่ถ้าพ่อค้าพูดอะไรจะต้องได้ผลประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นเสมอ ดังนั้น จะทำอะไรต้องมาจากใจ มาจากวิญญาณ

ถ้าไม่ได้ใจเขาก่อน ยิ่งเป็นไปได้ยาก

“อย่างการทำงานร่วมกันกับซีพี ผมบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะอยู่ๆ วันหนึ่งผู้อำนวยการมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ บอกผมว่า ซีพีต้องการบริจาคจำนวน 60 ล้านบาทให้มูลนิธิไปทำงาน ตอนนั้นผมได้ยิน ผมยังคิดเลยว่าเศรษฐีคนนี้ต้องการอะไร จนวันหนึ่งเรามีโอกาสพบกัน และนั่งคุยกัน คุณศุภชัยบอกผมว่า ซีพีต้องการบริจาคเงินให้ไปทำงานในพื้นที่ จ.น่าน เพราะตอนนั้นซีพีถูกโจมตีเรื่องข้าวโพดหนักมาก ผมจึงบอกคุณศุภชัยไปว่าคุณยังไม่รู้เลยว่าผมทำอะไรอยู่ตอนนี้

ผมจึงชวนเขาไปดูงานกับผมก่อน เมื่อดูวันเวลาที่ตรงกัน เขาเลื่อนงานทุกอย่างออกไป แล้วตอบตกลงที่จะไปดูงานกับผม 2 วัน 3 คืน ถือว่าได้ใจผมแล้วสำหรับครั้งที่หนึ่ง”

การไปดูงาน 2 วัน 3 คืน “คุณชายดิศ” พาคณะของ “ศุภชัย” ไปนอนเต็นท์ บุกป่า ฝ่าดง แบบชนิดที่ว่านอนกลางดิน กินกลางทราย หรือแม้กระทั่งนุ่งผ้าขาวม้าตักน้ำจากถัง 200 ลิตรอาบกัน มีข้อห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ซีพีมารับ ห้ามใช้รถตัวเอง

“นั่นเป็นทริปแรกที่ไป ซึ่งถือว่าคุณศุภชัยได้ใจผมมากๆ เป็นครั้งที่สอง จนทำให้ผมนึกถึงคำพูดของคุณอานันท์ ปันยารชุน ที่บอกผมว่า คนนี้ภายนอกอาจจะดูซีเรียส แต่ท่าทางของเขาเป็นคนเอาจริงเอาจัง สิ่งที่ผมชวนเขาลงพื้นที่ เพราะผมต้องทำให้เขาเห็นก่อนว่าเราทำอะไรอยู่ และสิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่เขาอยากทำไหม และเขาศรัทธาหรือไม่ ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วจะโยนเงินมาให้ หลังจากนั้นก็มีทริปที่สอง”

ทริปต่อมามีผู้ร่วมทางเพิ่มอีกคนคือ “หนุ่ม” ฐาปน สิริวัฒนภักดี จากไทยเบฟ ซึ่งก็อยากจะช่วยมูลนิธิในเรื่องนี้เหมือนกัน

“ตรงนี้จึงเป็นคำตอบว่าทำไมผมถึงเชิญชวนบริษัทใหญ่ๆ มารวมตัวกันทำงานในชื่อ “ทีมดี” ก็เพื่อช่วยเหลือชุมชน ชาวบ้าน และเกษตรกร และที่ผ่านมาเราเริ่มทำงานร่วมกันที่จังหวัดขอนแก่นและอุทัยธานี แต่ในอีกมุมหนึ่งผมอยากให้บริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้มาเรียนรู้อีกด้านหนึ่ง เพราะถ้าชาวบ้านอยู่ไม่ได้ เขาจะอยู่ได้อย่างไร”

 

ขณะที่ “ศุภชัย” พูดถึง “คุณชายดิศ” ว่า เป็นผู้ใหญ่ที่เขาเคารพมากท่านหนึ่ง เพราะเป็นคนลงมือทำจริง กัดไม่ปล่อยตามที่พูด และการที่ได้ไปดูงานแบบนอนกลางดิน กินกลางทราย ถือว่าไม่ลำบากอะไรเลย

“เพราะผมเป็นเด็กฟาร์มมาก่อน เล่นดิน เล่นโคลนมาก่อน คลุกดิน เล่นดิน เล่นน้ำสระในฟาร์มมาก่อน ความลำบากจึงไม่มีปัญหาสำหรับผม แต่สิ่งที่คุณชายดิศและมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ให้ผมคือมุมมองที่กว้างมากขึ้นกว่าเดิม อย่างปัญหาที่มูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ทำในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ดูผิวเผินแล้วเหมือนนำปัญหาไปชนก้อนหิน ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร หรืออย่างโครงการแก้ไขปัญหายาเสพติดแถบภาคเหนือของประเทศที่ติดชายแดนประเทศเมียนมา, สปป.ลาว ก็ตาม ผมคิดว่าประเด็นความยั่งยืนแบบนี้ เอกชนไม่เคยสัมผัส”

ล่าสุด ศุภชัยได้ร่วมลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายกับคุณชายดิศ โดยเข้าไปในหมู่บ้านที่มีปัญหายาเสพติด ซึ่งนั่นป็นครั้งแรกที่เขาพูดคุยกับผู้ค้ายาเสพติด แบบ face to face

“ตรงนั้นทำให้ผมเห็นมุมมองของเขา ซึ่งเขาบอกว่า โตขึ้นมา เขาก็เห็นคนค้ายาในพื้นที่ และเป็นเรื่องปกติ เพราะเขาเหล่านี้ไม่มีโอกาส ไม่ได้รับการศึกษา เขาไม่มีโอกาสเห็นอาชีพอื่นหรือมิติอื่นๆ แต่อาชีพค้ายาเสพติดเป็นสิ่งที่เขาเห็นทุกคนทำ ผมจึงคิดว่าถ้าเราทำให้เขาเห็นมิติอื่นๆ เห็นอาชีพอื่นๆ ที่มั่นคง มุมมองของเขาจะเปลี่ยนไป เพราะเขาไม่ได้เกิดมาเป็นคนที่ทำผิดกฎหมายมาก่อน แต่เมื่อเขาเริ่มค้ายาเสพติด เขาก็รู้อยู่เต็มอกว่าขาข้างหนึ่งของเขาอยู่ในคุกแล้ว และสิ่งที่ทำนั้นไม่มีวันยั่งยืน”

“แต่ด้วยผลประโยชน์ที่มากมายมหาศาลทำให้เขาต้องทำ ตรงนี้จึงทำให้ผมคิดว่าจะมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้เศรษฐกิจในรอบๆ พื้นที่เสี่ยงเหล่านี้มีความมั่นคงมากขึ้น”

 

ดังนั้น การที่ “ศุภชัย” มาทำงานร่วมกับ “คุณชายดิศ” และมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ ทำให้ได้เรียนรู้ในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะการทำงานด้วยใจ ทำมาจากวิญญาณ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เอาใจเราไปใส่ใจเขา และต้องมี Care and Share ด้วยการคิดกลับไปถึงชุมชน ชาวบ้าน เกษตรกรให้มากขึ้น

ถือเป็นประสบการณ์และมุมมองใหม่สำหรับผู้นำเครือธุรกิจซีพี ที่นอกจากจะรับภารกิจในการขับเคลื่อนองค์กรและเครือข่ายธุรกิจแล้ว ยังเปิดโลกในการเรียนรู้เพื่อสร้าง “ความยั่งยืน” ผ่านแนวคิด “Care&Share”

นั่นคือต้องก้าวต่อไปพร้อมกับความห่วงใยและแบ่งปันกับสังคมไทย เพื่อให้ประเทศสมดุลและแข็งแรงในระยะยาว