รู้ชีวิต…ด้วยดวงดาว / “ศ. ดุสิต”/เรื่องเล็กที่ต้องรู้ในวิชาพยากรณ์ (ต่อ) วิธีใช้ “จักรพยุหะ-คู่กาลี” ในเลข ๗ ตัว ระบบเลข ๗ ตัว

รู้ชีวิต…ด้วยดวงดาว / “ศ. ดุสิต”

อ่านอนาคตของคุณไม่ยากหรอก…แค่รู้จักดาว 10 ดวงเท่านั้น!

เรื่องลึกในโหราศาสตร์ไทยชุด ‘คลังโหร’

 

เรื่องเล็กที่ต้องรู้ในวิชาพยากรณ์ (ต่อ)

วิธีใช้ “จักรพยุหะ-คู่กาลี” ในเลข ๗ ตัว

ระบบเลข ๗ ตัว

 

เราสามารถที่จะนำเอาสูตรจักรพยุหะและคู่กาลีนี้ไปใช้ในระบบวิชาเลข ๗ ตัวได้ด้วย แต่จะต้องใช้ตามกฎที่ท่านได้วางไว้แล้ว

คือในเลข ๗  ตัวนี้จะใช้ดาวจักรพยุหะกับคู่กาลีนี้เพียงอย่างละสามคู่เท่านั้น เนื่องจากเลข ๗ ตัวนี้ไม่มีเลข ๘ จึงต้องตัดคู่ ๖๘ ออกไป

จึงเหลือเพียงคู่ ๑๒ – ๓๔ – ๕๗ ของจักรพยุหะกับ ๑๖ ๓๒ – ๗๔ ของคู่กาลีเท่านั้น

ในการที่จะรู้ว่า ดวงใดต้องเกณฑ์จักรพยุหะหรือไม่ ท่านมีกฎอยู่ว่า ดาวที่เป็นจักรพยุหะนั้นจะต้องวางเรียงกันตามฐานของเลข ๗ ตัวตามลำดับกัน จะผิดฐานไม่ได้

และดาวที่เป็นจักรพยุหะนั้นจะต้องอยู่ในหลักเดียวกัน ซึ่งท่านได้กำหนดไว้ว่า จักรพยุหะ-คู่กาลีนี้จะมีฤทธิ์แรงก็ต่อเมื่อสถิตอยู่ในหลักที่ ๑-๓-๖ หรือ ๑ – ๔ – ๗ ถ้าไปสถิตที่หลัก ๒ – ๕ จะมีพิษสงเท่ากับกาลกิณีธรรมดาเท่านั้นเอง

และในกรณีที่ดาวต้องเรียงตัวกันตามฐานนั้นก็คือ ให้ดาวตัวแรกของเกณฑ์วางอยู่ที่ฐานบน และตัวที่สองอยู่ฐานล่าง ดาวใดถูกกำหนดให้เป็นจักรพยุหะหรือคู่กาลีก็เป็นไปตามฐานนั้น

 

จากตัวอย่างนี้ คุณจะเห็นได้ว่าที่ผมได้วงรูปสี่เหลี่ยมไว้ ซึ่งตัวเลขในวงนั้นคือตัวเลขจักรพยุหะสองตำแหน่ง คือในหลักแรก และหลักที่สาม และยังมีในหลักที่หก อีกตัวหนึ่ง

แต่ตัวนี้ เป็นเลขคู่กาลี ซึ่งตัวคู่กาลกิณี อีกตัวหนึ่ง อยู่ในฐานที่สาม หลักที่หก เช่นเดียวกัน

ดังนั้น เราจึงเห็นได้ว่า ดวงนี้เป็นดวงที่มีดาวจักรพยุหะ และคู่กาลีอยู่ในชาตา

 

เมื่อรู้แล้วว่าเราจะจับดวงจักรพยุหะได้อย่างไร ต่อไปก็คือ การอ่าน เพื่อให้รู้ว่าดาวจักรพยุหะ-คู่กาลี ให้โทษแก่ดวงชะตาอย่างไรบ้าง

ซึ่งวิธีอ่านนี้ ก็ไม่ยากอะไรเลย คือใช้หลักของเลข ๗ ตัวนี้แหละ เป็นตัวบอก ว่าโทษนั้น จะเกิดในสถานใดบ้าง

และผมก็ได้บอกคุณแล้วว่า ตัวหลักสำคัญก็คือหลักที่ ๑ – ๓ – ๖ ซึ่งเป็นจุดที่พยากรณ์ถึงชาตาชีวิต กับหลักที่ ๑ – ๔ – ๗ ชุดนี้ มีความหมายว่า ผลที่เกิดที่ในสามหลักนี้ จะเกิดกับตัวตน อันเป็นตัวเจ้าชาตานั้นเอง

และในตัวอย่างนี้ จะพออ่านในชุดแรก คือ หลัก ๑ – ๓ – ๖ ได้ว่า ชาตาชีวิตของเจ้าชาตานี้จะประสบกับอุปสรรคเดือดร้อนในช่วงปลายของชีวิต

แต่ความเดือดร้อนที่ได้รับนั้นไม่ใช่เรื่องที่รุนแรงหนักหนา เพราะสาเหตุเกิดจากดาวแยกฐานกัน คือ ตัวรับอยู่ฐานวัน ตัวส่งโทษอยู่ฐานปี จึงมีฐานเดือนคั่นอยู่ ทำให้ลดความรุนแรงลง ผิดกับสองหลักแรก คือ หลักที่ ๑ – ๓ นั้น ดาวจักรพยุหะทั้งคู่อยู่ในฐานที่ติดต่อกัน

โทษที่ส่งให้ จึงมีน้ำหนักที่รุนแรงกว่า หลัก ๑ นั้น หมายถึง รากฐานชีวิต ซึ่งก็คือสิ่งที่ชีวิตจะต้องประสบนั้นเอง

หลักที่ ๓ นั้นหมายถึงประตูชีวิต คือเป็นส่วนที่ชีวิตจะก้าวออกไปพบกับสิ่งนั้นในช่วงใดช่วงหนึ่ง

ส่วนจะพบกับอะไรนั้น ก็พิจารณาได้จากความหมายของจักรพยุหะนั้นเอง

เช่น หลักที่ ๑ นั้น เป็นเลข ๑๒ อันมีความหมายว่า คู่ครัวเรือน แปลว่า ผู้ใกล้ชิดสนิทสนมของเจ้าชาตา เมื่อมีความหมายว่าเป็นจักรพยุหะ ก็แปลว่า ความเดือดร้อนที่เจ้าชาตาจะได้รับนั้น มาจากผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนม นี้เป็นตัวอย่างในการอ่านความหมายของดาวกับความหมายของหลัก

เพราะเมื่อปรากฏในหลักแรกของดวงชะตาเช่นนี้ ก็หมายความว่า มันเป็นเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่ในฐานชีวิตของชะตานี้

พูดง่ายๆ ก็คือ เขาจะต้องประสบกับเหตุการณ์นี้อย่างแน่นอน เลี่ยงไม่พ้น

นี้แหละ คือการอ่านดวง ซึ่งจะทำให้เรารู้ถึงชาตาชีวิตของแต่ละคนได้ อย่างที่วิชาอื่นไม่อาจจะให้ได้ดีเท่ากับวิชานี้

 

ในการจับเกณฑ์จักรพยุหะนี้ เราสามารถทำได้จาก ๔ ฐานนะครับ คือฐานวันเดือนปีอย่างที่เรารู้กันแล้ว แต่ฐานที่สี่นั้นเราจะต้องยกเอาฐานที่หนึ่งหรือฐานวันนั่นแหละมาวางใต้ฐานปีแล้วเราก็จะจับเกณฑ์นี้ได้ครบถ้วน โดยนำดาวในฐานสามหรือฐานปีมาจับกับดาวในฐานวันที่วางลงใหม่

ถ้าดาวจับคู่กันได้ก็ถือว่าหลักนั้นต้องเกณฑ์นี้ เช่นในตัวอย่างนี้คุณจะเห็นได้ว่าในหลักที่หกของฐานปีกับฐานวันจะได้ดาวคู่ ๑-๖ ซึ่งเป็นคู่กาลี

เราก็อ่านได้ว่าเจ้าชาตานี้จะต้องประสบกับอุปสรรคที่จะนำความเสื่อมถอยมาสู่ในช่วงปลายของชีวิตนั่นเอง

เมื่อเราอ่านเป็นแล้ว หลักอื่นๆ ก็ใช้วิธีเดียวกันนี้แหละในการอ่าน แต่วิธีอ่านนี้ก็ยังมีรายละเอียดที่จะต้องรู้กันต่อไปอีกเล็กน้อย นั้นคือ เลข ๗ ตัวนี้ มีอยู่ ๗ หลัก เมื่อถูกกำหนดให้เป็นจุดพยากรณ์ ๕ หลัก คือ หลักที่ ๑-๓-๔-๖-๗ แล้ว จึงมีเหลืออยู่อีก ๒ หลักคือ หลักที่ ๒ – ๕

ทั้งสองหลักนี้ ถือเป็นหลักปลอด อันมีความหมายว่า เป็นเสมือนหลักปกติทั่วไป

แม้จะมีดาวจักรพยุหะ-คู่กาลีเข้ามาสถิตอยู่ในสองหลักนี้ก็ตาม ความเป็นโทษก็จะเป็นเพียงเท่ากับว่า มีดาวกาลกิณีมาสถิตอยู่เท่านั้นเอง ไม่ได้รุนแรงหนักหนาเหมือนกับเป็นดาวจักรพยุหะ-คู่กาลี

ถ้าเราเข้าใจวิธีใช้ตามนี้แล้ว การอ่านเลข ๗ ตัวของคุณก็จะสมบูรณ์ขึ้นอีกอย่างแน่นอน

แต่เรื่องของกาลกิณีนี้ยังไม่จบ ติดตามกันต่อไปก็จะได้ความรู้ที่หายากเพิ่มขึ้นอีกแน่

 

กาลีแฝง

 

“กาลี” หมายถึง ความชั่วร้าย, เสนียดจัญไร

“แฝง” หมายถึง การซ่อนตัวอยู่ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

กาลีแฝง คือความชั่วร้าย ที่ซ่อนตัวเข้ามาอยู่ในดาวใดดาวหนึ่ง ซึ่งในบทความนี้ จะหมายถึงดาวกาลกิณี การแฝงตัวของดาวกาลกิณี จะไปสถิตอยู่ใน ณ ภพใดก็ได้ ซึ่งบางครั้งดาวนั้นก็เป็นดาวที่ดี ให้คุณแก่ชาตา แต่เมื่อมีกาลกิณีแฝงมา จึงเกิดการลดทอนคุณความดีของดาวนั้นลงไปบางส่วน จะมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวเรื่องของเรื่องนั้นเอง

สูตรกาลีแฝงนี้จะให้ประโยชน์แก่นักพยากรณ์ทั้งหลายในการดูดวง เพื่อที่จะให้รู้ว่า ในดวงนั้นให้คุณหรือโทษมากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็มีวิธีในการอ่านสูตรได้ดังนี้

อิทธิพลกาลีแฝง

การแฝงของกาลีนั้นสามารถแฝงได้หลายทาง แต่จุดที่พบมากที่สุด คือ

๑. แฝงดาว

จุดนี้ก็คือดาวนั้นก็เป็นดาวกาลกิณีนั่นเอง เรารู้อยู่แล้วว่าดาวกาลีไปสถิตอยู่ที่ไหนก็จะส่งโทษให้ที่นั้น

๒. แฝงเรือน

เรือนนั้นหรือภพนั้นเป็นเรือนอะไร ถ้าดาวเจ้าเรือนนั้นเป็นดาวกาลี  ผลที่กาลีจะส่งออกมาจะมีขอบเขตอยู่เฉพาะภพนั้นหรือราศีนั้น จะไม่ไปรบกวนภพอื่น (เว้นแต่ว่าดาวนั้นเป็นเกษตรสองเรือนจึงจะส่งผลไปอีกเรือนหนึ่งได้)

๓. แฝงกลุ่ม

ถ้าราศีใดมีดาวตั้งแต่สองดวงขึ้นไป และดาวดวงหนึ่งในจำนวนนั้นเป็นดาวกาลี ดาวที่ร่วมกลุ่มอยู่นั้นจะได้รับผลกาลีจากดาวกาลีนั้นด้วย หมายความว่าถ้าดาวเหล่านั้นส่งกระแสไปกระทบกับดาวอื่นในดวงชาตาก็จะส่งโทษไปถึงดาวดวงนั้นด้วย

ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าการแฝงของกาลีนั้นอยู่ในที่ใดบ้าง และจะส่งผลกระทบกับดาวและภพต่างๆ ได้อย่างไร เมื่อดาวใดที่กาลีแฝงอยู่โคจรไปยังภพไหนราศีใดก็จะส่งกระแสกาลีที่แฝงมาด้วยนั้นให้แก่ภพนั้นดาวนั้นตามเหตุและผลที่ดาวนั้นครองอยู่

เช่น ดาวกาลีโคจรไปกระทบกับดาวลาภะก็จะส่งโทษให้แก่ดาวลาภะนั้น ทำให้ลาภผลที่เจ้าชาตาจะได้ถูกขัดขวาง อาจทำให้ได้ลาภน้อยลงหรือช้าออกไปอีก เป็นต้น

ผลโทษที่ดาวกาลีส่งออกไปนั้น ถ้าหากว่าราศีนั้นดาวกาลีมีอิทธิพลต่ำ โทษของกาลีก็จะต่ำลงด้วย

เช่น ราศีที่ทำให้ดาวกาลีนั้นเป็นประหรือนิจ แต่ถ้าราศีนั้นทำให้ดาวกาลีเข้มแข็งขึ้นเช่นเป็นเกษตรหรืออุจจ์ พิษของกาลีก็จะขยับสูงขึ้นตามดาวนั้นแหละ นี่เป็นอีกอย่างหนึ่งที่นักพยากรณ์ทุกคนควรต้องเข้าใจ เพราะบางคนไม่ทราบถึงผลของพิษสงที่กาลีแฝงเอาไปส่งให้ในภพหรือราศีนั้นๆ การเข้าใจในเรื่องนี้จะทำให้ผลพยากรณ์มีความละเอียดและถูกต้องมากขึ้น

ทำตัวอย่างให้ดูสามแบบแล้วเราก็คงเข้าใจได้ว่าพิษสงของกาลีนั้นสามารถที่จะโคจรไปรอบดวงได้ หมายถึงดาวจรเป็นดาวกาลี

แต่ถ้าดาวที่เป็นกาลีนั้นเป็นดาวเดิมซึ่งสถิตอยู่ในดวงเดิม อิทธิพลของกาลีก็จะส่งผลที่รุนแรงมากกว่าดาวที่โคจรไปเรื่อยๆ เพราะเป็นดาวที่นิ่งอยู่กับที่

หรือพูดง่ายๆ ก็คือ พิษจากดาวกาลีจรนั้นย่อมเยากว่าพิษของดาวกาลีที่เป็นเกษตร ซึ่งตรงนี้นักพยากรณ์มือใหม่จะต้องทำความเข้าใจให้ดี ไม่ใช่ว่ากาลีทุกตัวจะให้ผลเท่ากันหมด ความแตกต่างก็คือขึ้นกับตัวดาวกาลีนั้นแหละว่ามีความเข้มแข็งหรืออ่อนแออย่างไร

เราจะเห็นได้ว่าสูตรนี้ใช้ดาวกาลกิณีจากทักษาพยากรณ์เป็นหลัก ซึ่งระบบโหราศาสตร์นี้เรานำเอาระบบทักษามาใช้ร่วมด้วยจนทักษากลายเป็นส่วนหนึ่งของโหราศาสตร์ไปแล้ว ไหนๆ ก็พูดกันมาถึงเรื่องกาลีแฝงแล้ว

ในตอนหน้าผมก็จะขอนำเอาสูตรอีกสูตรหนึ่งซึ่งสำคัญไม่น้อยในการใช้พยากรณ์มาลงไว้ในชุดนี้ด้วย สูตรนั้นก็คือ “เกณฑ์กาลกิณี” อย่าพลาดนะครับ