E-DUANG : ปัจจัย ชี้ขาด พรรคการเมือง ปัจจัย ส่ง 350 เขตเลือกตั้ง

หากความโดดเด่นในบทบาทของ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กับนาย สมศักดิ์ เทพสุทิน ทำให้พรรคพลังประชารัฐเติบโตภายในชั่วข้ามคืนทั้งๆที่ยังไม่ได้จัดประชุมพรรค

ความโดดเด่นของพรรคพลังประชารัฐก็ทำให้บทบาทพรรค รวมพลังประชาชาติไทยต้องถอยออกไปอยู่แนว 2 โดยปริยาย

แม้จะชู นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขึ้นสูง

หากเทียบ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องถือว่าความโดดเด่นอยู่ในระนาบ เดียวกัน

ทั้ง พรรครวมพลังประชาชาติไทยยังมี นายเอนก เหล่าธรรม ทัศน์ ผงาดอยู่ในตำแหน่งหัวหน้าพรรค

แล้วเหตุใดจึงตกเป็นรอง”พรรคพลังประชารัฐ”

 

ต้องยอมรับว่าเมื่อแรกที่ประกาศตัวตนออกมา ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าพรรครวมพลังประชาชาติไทย ไม่ว่าพรรคประชาชนปฏิรูป ไม่ว่าพรรคพลังชาติไทย

ล้วนยืนอยู่ใน”แนว”ซึ่งใกล้เคียงกัน

โดยพื้นฐานล้วนเป็นพรรคที่อาสาเข้ามาเพื่อสนองตอบต่อ แนวทางสืบทอดอำนาจของ “คสช.”

โดยชู พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น นายกรัฐมนตรี

พรรคเหล่านี้แหละคือตัวเล่นของคสช.ที่จะไปประสานและเติมความแข็งแกร่งให้กับ 250 ส.ว.ที่ตระเตรียมไว้

แต่แล้วท่ามกลางการเคลื่อนไหว พลันที่เงาร่าง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ปรากฏขึ้นโดยมีคนระดับ”รองนายกรัฐมนตรี”เป็นตัวเชื่อมมาจาก”ทำเนียบรัฐบาล”

ไม่ว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ว่า นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ไม่ว่า นายไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นต้น ก็ถูกกีดกันโดยอัตโนมัติให้ไปยืนอยู่แนว 2 แนว 3

กลายเป็น”พรรคสำรอง”ที่แทบไม่มีประโยชน์สำหรับ”คสช.”

 

บทสรุปเช่นนี้อาจเร็วเกินไป แต่ความแจ่มชัดจะปรากฏเป็นลำดับพลันที่วาระแห่ง”การเลือกตั้ง”กระชั้นใกล้เข้ามา

ปมชี้ขาด 1 คือ การแสดงบทบาท

ปมชี้ขาด 1 ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งในทางการเมืองก็คือ จะสามารถส่งได้ครบ 350 เขตทั่วประเทศหรือไม่ ประสานกับรายชื่อระบบบัญชีรายชื่อ

ปัจจัยหลังนี้แหละคือตัวชี้ขาดอย่างแท้จริง