มนัส สัตยารักษ์ : ระบบไร้สายป้องกันไฟชอร์ต??

ประมาณปี 2517 หรือ 2518 ผมได้รับการแต่งตั้งไปเป็นสารวัตร ผ.3 กก.2 ป. ซึ่งเรียกกันง่ายๆ แบบไม่มีตัวเลขและอักษรย่อ ก็คือ “สารวัตรรถวิทยุ กองปราบปราม”

ตอนที่ผมไปรับตำแหน่งนั้น แผนกรถวิทยุกับแผนกปราบจลาจล (ผ.5 กก.2ป.) ย้ายที่ทำการ อาวุธยุทโธปกรณ์ ยานพาหนะ ฯลฯ รวมทั้งกำลังพลและครอบครัวตำรวจ ไปอยู่ที่ซอยโชคชัย 4 ลาดพร้าวแล้ว

แต่ก็มีบางสิ่งที่ไม่ได้ย้ายไปด้วย (หรือย้ายไม่ได้) และยังอยู่ในความรับผิดชอบของ สว.รถวิทยุเหมือนเดิม หนึ่งในนั้นคือ “ปั๊มน้ำมัน” ซึ่งหมายรวมถึงจำนวนน้ำมันใต้พื้นดิน ในบริเวณอาคารที่ตั้งกองปราบปราม สามยอด

วันดีคืนดีผมก็ถูก คตง. (คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน) เรียกไปชี้แจงเรื่องจำนวนหรือสต๊อกน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปั๊มโชคชัย 4 กับที่ปั๊มสามยอด

ข้าราชการที่โดน คตง. เรียกพบโดยไม่ทราบว่าพวกเขามาเช็กสต๊อกกันแต่เมื่อไร ทำให้อดเดาไม่ได้ว่าผมคงโดนบัตรสนเท่ห์ร้องเรียน แม้จะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเองเต็มร้อยแต่ก็อดวิตกไม่ได้ ด้วยว่าถ้าพลาดพลั้งเสียทีขึ้นมาก็จะเสียหายป่นปี้ไปทั้งวงศ์ตระกูล ทั้งหน่วยงานและองค์กร

ผมจึงเตรียมข้อมูลต่างๆ ของปั๊มไปด้วย เช่น ประวัติการซ่อมปั๊มที่แตกร้าว สูตรการระเหยตามธรรมชาติของน้ำมันเบนซิน ฯลฯ ไปด้วย

แต่แล้วผมก็ชี้แจงไม่ได้ เพราะว่าน้ำมันที่ปั๊มโชคชัย 4 ขาดสต๊อก ส่วนน้ำมันที่ปั๊มสามยอดเกินสต๊อก!

(ยังกับเรื่องสั้นชนิดทาสต์เอนดิ้ง)

หลังจากอึ้งไปพักใหญ่ พนักงาน คตง. 3-4 คน ซึ่งอมยิ้มอยู่ก็พูดกับผมประมาณว่า พวกเขาจะคลี่คลายปมปัญหาตรงนี้ให้ผมก็แล้วกัน

ผมถามขณะลาจากมาว่า “น้ำมันเกินสต๊อกนี่ ผิดด้วยหรือครับ”?

“เตรียมยักยอกไง” คนหนึ่งตอบสั้นๆ

ผมเล่าทวนเรื่องสต๊อกน้ำมันข้างต้นเพราะได้ฟังคำพูดที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแถลงข่าวภายหลังการประชุมเกี่ยวกับการปรับลดงบประมาณระบบไอทีของอาคารรัฐสภาใหม่ หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้ทบทวนปรับลดงบประมาณลงอีก

สาเหตุที่ ครม. “ตีกลับ” อยู่ที่ปมราคาไมโครโฟน ชุดละ 1 แสน 2 หมื่นบาท (ประมาณ 600 ชุด) นาฬิกาดิจิตอลเรือนละ 7 หมื่นบาท (ประมาณ 100 เรือน) ทีวี 65 นิ้ว ราคาเครื่องละ 1 แสน 7 หมื่นบาท (ประมาณ 100 เครื่อง)

ผมไม่ได้เชื่อตัวเลขราคาและตัวเลขจำนวนสิ่งของในพารากราฟข้างต้นทั้งหมด แต่ก็มั่นใจว่าไม่ขาดหรือไม่เกินไปจากนี้เท่าไรนัก

แต่ถ้าพิจารณาถึงความจำเป็นและความสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อนำเปรียบเทียบกับราคาในท้องตลาด เมื่อบวก ลบ คูณ หาร ทั้งหมดแล้ว ทำให้นึกถึงคำพูดของ คตง. ที่ว่า “เตรียมยักยอก” ทันที!

ผมไม่เห็นความสำคัญของนาฬิกาที่จะต้องมีสเป๊กที่แม่นยำถึงปานนั้น และไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องมีจำนวนมากมายขนาดนั้น ผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้ไมโครโฟนที่มีคุณภาพสูงระดับที่ใช้กับนักร้องหรือวงดนตรี และผมก็เชื่อว่าทีวีราคา 5 หมื่นบาทให้ภาพและเสียงพอกันกับที่ราคาแสนกว่าบาท

มันทำให้อดไม่ได้ที่นึกถึงคำของ คตง. ที่ว่า “เตรียมยักยอก” ทันที!

จริงอยู่…คำว่า “เตรียมยักยอก” อาจจะไม่ถึงขั้น “พยายามยักยอก” หรือเข้าขั้น “ความผิดสำเร็จ” ตามภาษากฎหมาย

แต่ลองวาดมโนภาพดูว่า ถ้ารู้จักฟังคำท้วงติงกันบ้าง หรือผู้บังคับบัญชา หรือ ครม. เอาใจใส่ สะกิดให้ฉุกคิด หรือเล่นงานลงโทษทางการปกครอง ย้ายเสียจากหน้าที่จัดซื้อจัดหา ฯลฯ เราคงไม่ต้องเสีย “ค่าโง่” มหาศาล อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับกรณีเครื่องบินเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ เครื่องตรวจระเบิด GT200 เรือเหาะตรวจการณ์ดับไฟใต้ CCTV ดัมมี่ หรือรถดับเพลิง ฯลฯ

เงินที่ละลายหายไปนี้เป็นเงินจากภาษีของประชาชนทั้งสิ้น และส่วนหนึ่งมันเป็นของผมอยู่ด้วย

เลขาธิการกล่าวว่า จะไม่ดื้อกับ ครม. พร้อมที่จะทบทวนให้อยู่ในความเหมาะสมและจะรับมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อไป

ตอนหนึ่งของคำพูดมีว่า… “เมื่อ ครม. ทักท้วงมา วันนี้ผมไม่เอาแล้ว ทั้งไมโครโฟน ทีวี นาฬิกาที่มีราคาแพง แต่จะปรับลดทบทวนเรื่องเพื่อลดงบประมาณ คิดแล้วว่าเราคงไปไม่ถึงระบบ คงอยู่ได้แค่ดิจิตอลหรือยุคอะนาล็อก”

… “เมื่อก่อนเราคิดว่าห้องประชุมในอนาคตจะเป็นห้องประชุมไร้สาย เพราะเผื่อเวลาฝนตกแล้วไฟชอร์ตสมาชิกตายจะทำอย่างไร ดังนั้น เราถึงได้ออกแบบคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อให้รัฐสภาแห่งใหม่ดี เรื่องไอซีที ถ้าลดได้ก็ต้องลด แต่ระบบสื่อสารในอาคารสภาจะต้องไม่กระทบกระเทือนหรือล้มเหลว”

ขึ้นต้นพูดว่า “จะไม่ดื้อกับ ครม.” (ซึ่งไม่มีสิทธิ์ดื้ออยู่แล้ว) แต่ลงท้ายกลายเป็นพูดประชดแดกดันถึงความไม่ทันสมัยหรือไม่มีวิสัยทัศน์ของ ครม. ทั้งที่ ครม. ไม่ได้ทักท้วงตรงประเด็น “ระบบ” แต่ทักท้วงในประเด็นราคาข้าวของเครื่องใช้ที่แพงผิดปกติเกินไปต่างหาก

แต่การที่เลขาธิการสภาพูดประหนึ่งคนไม่เข้าใจในคำว่า 4K ดิจิตอล หรืออะนาล็อก ห้องประชุมไร้สาย ทั้งที่คำเหล่านี้บางคำมีกำเนิดและใช้กันมากว่า 20 ปีแล้ว โดยเฉพาะตรงประโยคที่ว่า “เราคิดว่าห้องประชุมในอนาคตจะเป็นห้องประชุมไร้สาย เพราะเผื่อเวลาฝนตกแล้วไฟชอร์ตสมาชิกตายจะทำอย่างไร…”

มันเป็นประโยคคำพูดของคนที่ไม่รู้เรื่อง “เทคโนโลยีไร้สาย” เอาเสียเลย

ผมไม่แน่ใจว่าเลขาธิการสภาไม่เข้าใจหรือ “แสร้ง” ไม่เข้าใจ แต่ผลที่ได้จากคำพูดก็คือ ประชาชนรู้สึกว่าถูกเลขาธิการสภามองว่า “โง่”

ไม่เพียงแต่ประชาชนเท่านั้น ครม. ทั้งคณะก็ถูกมองว่าโง่ด้วย

เลขาธิการสภาใช้คำว่า “เรา” ในการออกแบบระบบไอที “เรา” ในที่นี้ก็คือตัวท่านเองกับ “ผู้รับเหมาออกแบบระบบ”

ในการแถลงข่าว พวกเขาคนหนึ่งก็พูดประชดถึงการลดสเป๊กยุโรปมาเป็นสเป๊กจีน เขาไม่รู้หรือว่าประเทศทางฝั่งตะวันตกและยุโรปซื้อหรือเทกโอเวอร์ หรือจ้างบริษัทในประเทศจีน เกาหลีและญี่ปุ่น เพื่อผลิตสินค้าไอทีที่เราใช้อยู่ในวันนี้หลายตัว ตามความเชี่ยวชาญและการพัฒนาที่ล้ำหน้ากว่า

เลขาธิการสภาและผู้ออกแบบระบบ พูดขู่ว่า บริษัทชิโน-ไทย (ผู้รับเหมาสร้างอาคาร) ทำหนังสือขอสงวนสิทธิ์เรียกค่าเสียหายในการทำงานปิดฝ้าเพดานและผนังควบคู่ไปกับระบบไอที…

“ซึ่งถ้างบฯ ไอทียังไม่มาและบริษัทจะต้องปิดฝ้าแล้ว เขาจะต้องเรียกค่าเสียหายเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาท”

คำขู่อย่างนี้รวมทั้งคำที่แถลงข่าวอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ทำให้ผมอ่านได้ว่า เลขาธิการสภาถูกหลอกหรือถูกเสี้ยมเรื่อง “ระบบไอที” โดยคนที่ “โง่” กว่าท่านเลขาธิการสภาเองแน่นอน

ถึงเวลาแล้วที่จะต้องนำวิธีคิดของ “คตง.โบราณ” มาใช้ โดยมองว่าได้เตรียมการหรือได้พยายามกระทำความผิดแล้ว

นั่นคือ เปลี่ยนตัวผู้รับผิดชอบโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่