วางบิล /เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ /สู่ร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อจิตกระหวัดถึงหญิงคนรัก

วางบิล  เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

เมื่อจิตกระหวัดถึงหญิงคนรัก

 

หลวงพี่พระมหาสวัสดิ์เป็นอีกรูปหนึ่งที่พระปานมักหาเวลาไปพูดคุยด้วย ท่านเคยปรารภในวันหนึ่งหลังจากทำวัตรเย็นว่า หากสงสัยหรือติดขัดในข้อธรรมอะไรอนุญาตให้ถามได้ทุกเมื่อ ซึ่งเป็นที่ยินดีของพระปาน ด้วยเป็นคนที่มีข้อข้องใจสงสัยเสมอ โดยเฉพาะเรื่องธรรม ครั้นจะถามจากพระครูพรหมรู้สึกเกรงใจและไม่อยากรบกวน

ส่วนพระสุชัย พระปานรู้สึกว่ายังไม่แตกฉานในธรรมะเพียงพอ แต่กับพระมหาสวัสดิ์ แม้จะบวชมาตั้งแต่เป็นเณรน้อยจนบัดนี้เกือบ 20 พรรษา ในความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่ เรียนรู้ทั้งทางโลกียะและโลกุตรธรรมจากหนังสือที่อ่าน ทั้งยังไม่ละทิ้งการปฏิบัติกรรมฐาน

“เราจะใช้อะไรปรามจิตเมื่อกระหวัดถึงผู้หญิงคนรัก” พระปานเอ่ยถามพระมหาสวัสดิ์ขณะนั่งคุยที่โต๊ะนั่งเล่นของคณะบนสนามหญ้าสวนหย่อมในคืนพระจันทร์ค่อนดวงก่อนวันปีใหม่

“เอ… อันนี้ตอบยากแฮะ” พระมหาสวัสดิ์ครุ่นคิด “ไอ้นี่แหละคือตัวราคะที่ทำให้พระสึกมานักต่อนัก” ท่านยังไม่ให้คำตอบโดยตรง

“ที่จริงมันก็ไม่มีความรู้สึกมากมายอะไรนักหรอกครับ เพียงแต่บางครั้งอยู่เฉยๆ คนเดียว หรือขณะทำสมาธิ ก็แวบขึ้นมา” พระปานขยายความขณะเดียวกับคิดไปถึงเช้าวันที่ออกบิณฑบาตแล้วมีกลิ่นน้ำหอมโชยมาเข้านาสิกประสาท เป็นกลิ่นเดียวกับที่จงจิตใช้เสียด้วย

“เอาอย่างนี้ ไอ้ความรู้สึกที่คุณว่ามันเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง… ทีนี้ในกิเลสต่างๆ ท่านมีวิธีแก้ไว้หมดแล้ว เช่น แก้ความโกรธด้วยเมตตา แก้โลภด้วยการบริจาค แต่การแก้ราคะที่เกิดจากความรักต้องใช้อสุภกรรมฐาน”

มหาสวัสดิ์ยกตัวอย่าง

 

แสงจันทร์ค่อนดวงนวลเนียนยามไร้เมฆบัง ระหว่างคำถามคำตอบ ในจิตใจของพระปานยังคิดไปถึงจงจิต เกือบเดือนแล้วที่เขาไม่ได้รับทราบข่าวคราวของเธอ ทั้งที่พยายามจะไม่นึกถึง อีกจิตใจหนึ่งที่คอยรบกวนเขาเสมอ ยิ่งจะลืมความรู้สึกเก่าๆ เท่าไหร่ ไอ้ความรู้สึกเก่าๆ นั้นยิ่งผุดพรายขึ้นเท่านั้น

ในความคิดของพระปานขณะนั้นครุ่นคิดถึงทั้งคำตอบของพระมหาสวัสดิ์และจงจิตพร้อมกันไป มันสลับสับเปลี่ยน เกิดขึ้นและปรับเป็นฉากๆ เหมือนฉายภาพนิ่ง เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในความทรงจำ ในความรู้สึกนึกคิด ไม่ปะติดปะต่อ แล้วแต่จิตใจจะหวนระลึกไปถึงเหตุการณ์ตอนไหนก่อนตอนไหนหลัง

ระหว่างครุ่นคิดนั้น พระมหาสวัสดิ์อธิบายติดต่อกันไปว่า “อสุภกรรมฐานส่วนนี้คือพยายามพิจารณาให้เห็นว่าร่างกายนี้เป็นของน่าเกลียด เป็นปฏิกูล ไม่งาม มีแต่เน่าเปื่อยไป” ท่านพยายามอธิบายช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ แล้วยกตัวอย่างตัวเองว่า

“สำหรับผม เคยมีเหมือนกันในความรู้สึกอย่างที่คุณว่า แต่มันคงไม่เหมือนกันนัก เพราะผมไม่เคยใกล้ชิดสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิง พูดง่ายๆ คือไม่เคยผ่านผู้หญิงเหมือนคุณ แต่มีผู้หญิงที่รู้จักมักคุ้นมาพูดคุยสนิทสนมด้วย บางคนเกิดต้องชาตาอะไรก็ไม่รู้…”

พระมหาสวัสดิ์หยุดคิดถึงอดีตที่ผ่านมา “เคยมีคนหนึ่ง ทีแรกผมไม่ได้คิดอะไร แต่มีวันหนึ่ง ระหว่างคุยกัน จิตใจมันแปลบขึ้นมาเฉยๆ เสียอย่างนั้น รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เข้าท่า สวยถูกใจ ต้องชาตากัน แต่ในอีกความรู้สึกหนึ่ง คอยเตือนเสมอว่าเราเป็นพระ” ท่านย้อนรำลึกถึงวันคืนนั้นที่ผ่านเข้ามาในความรู้สึกนึกคิด “เท่านั้น ความรู้สึกยินดีรักใคร่ก็หมดไป ซึ่งเป็นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ไม่ได้ตลอดไป”

แล้วพระมหาสวัสดิ์หยุดยิ้มให้พระปานนิดหนึ่ง “คิดถึงเมื่อไหร่ความรู้สึกรักใคร่ยินดีที่เรียกว่ากามฉันทา หรือความยินดีในกามยังเกิดขึ้นมาอีกเป็นบางครั้ง”

“แล้วท่านแก้ยังไงครับ” พระปานถาม และตั้งใจฟังคำตอบ ดวงตาจ้องเป๋งไปที่พระมหาสวัสดิ์อย่างใจจดใจจ่อ

 

ท่านเงยหน้าขึ้นมองออกไปจากตรงที่นั่ง “ความรู้สึกนั้นรบกวนผมอยู่นาน จนวันหนึ่ง ผมไปทอดผ้าป่า วัดที่บ้านทางภาคอีสาน ไปพบหลวงพ่อรูปหนึ่ง ดูท่านเป็นพระรูปร่างดี ผิวพรรณสะอาด หน้าตาหล่อเหลา เมื่อหนุ่มๆ คงรูปร่างดีไม่ใช่เล่น จัดว่าทั้งสวยทั้งหล่อในคนเดียวกัน” หลวงพี่สูบบุหรี่อึกสุดท้าย ก่อนขยี้ก้นบุหรี่ลงในที่เขี่ยบนโต๊ะ พ่นควันรวยรินระลึกถึงความหลัง

“คืนนั้นนอนเล่นคุยกัน ผมถามท่านไปตรงๆ ว่า อย่าหาว่าเป็นการละลาบละล้วงเลยนะหลวงพ่อ เท่าที่สังเกตเห็นหลวงพ่อหน้าตาผ่องใส ถามจริงๆ เหอะว่าเคยมีผู้หญิงมาติดพัน แล้วท่านเคยมีจิตใจด้วยไหมครับ หลวงพ่อมองผม ยิ้ม แล้วตอบว่า เคย มีมากด้วย มีจนกระทั่งผมเกือบสึกเสียแล้ว ตอนนั้นเกือบเอาตัวไม่รอด…” หลวงพ่อนิ่งคิดก่อนเอ่ยตอบต่อมาว่า

“ผู้หญิงคนนั้นถ้าจะว่าไป ทั้งสวยทั้งรวย คือถ้าได้มาเป็นเมียละก็ไม่ผิดหวัง แต่เมื่อคิดถึงสังขารที่ร่วงโรยลงไปทุกวัน ไม่เที่ยง คิดถึงเมื่อร่างกายเคยสวยงามต้องแห้งเหี่ยวลงไปตามกาลเวลา ถ้าเอาร่างกายนั้นมากรีด ตัดออกเป็นชิ้นๆ มีเลือดมีน้ำเหลืองไหลเยิ้ม เราจะยังรักยังต้องการไหม ได้คำตอบให้ตัวเองว่า ไม่รัก ไม่ต้องการ ยกให้ก็ไม่เอา เมื่อเป็นเช่นนี้เลยทำให้ปลงตก…” ท่านให้คำตอบตรงไปตรงมา

“ตั้งแต่นั้นมาผมใช้วิธีเดียวกับท่าน คือเมื่อใดที่นึกถึงผู้หญิงไปในทางราคจริต ก็นึกขึ้นมาว่าถ้าเอามีดมากรีดเฉือนใบหน้า ตามตัว ออกเป็นชิ้นๆ แล้วยกให้เอาไหม ก็ไม่เอาอยู่ดี ไม่ว่าจะน้อมใจอย่างไรก็รับไม่ได้” ท่านมหาสวัสดิ์อธิบายเหตุและผลที่นำมาเป็นเตือนเป็นอนุสติ พร้อมอธิบายและสรุป “เพราะเห็นเป็นของน่าเกลียด เป็นปฏิกูล ทำได้อย่างนั้นแล้วผมสบายใจขึ้นเป็นกอง”

หลวงพี่มหาสวัสดิ์ยกกาน้ำชาออกจากป้านรินลงถ้วยของตัวเองและของพระปาน เลื่อนมาเชิงชวนให้ดื่ม ก่อนจะว่าถึงเรื่องของผู้หญิงที่มาติดพัน

“เดี่ยวนี้ผมเฉยๆ เสียแล้ว คุณคิดดูซิ วันหนึ่งๆ ผมมีแขกตั้งเท่าไหร่ โดยเฉพาะผู้หญิง ขึ้นกุฏิเป็นเทือก ถ้าคิดไม่ได้อย่างนั้น ปานนี้คงสึกไปนานแล้ว”

พระมหาสวัสดิ์จบคำอธิบาย จุดบุหรี่มวนใหม่

 

จันทร์ค่อนดวงเคลื่อนดวงสูงขึ้นตามเวลาที่คล้อยไป ลมหนาวโชยมาเป็นพักๆ สรรพเสียงรอบบริเวณค่อยเงียบลง เสียงโทรทัศน์ที่ห้องพระครูพรหมหยุดไปแล้ว แสงไฟในห้องดับตาม

พระปานคิดทบทวนคำอธิบายและเรื่องของพระมหาสวัสดิ์

ยังไม่ปลงใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ทั้งยังไม่แน่ใจว่าอสุภกรรมฐานจะสามารถกลบความรู้สึกที่มีต่อจงจิตได้หรือไม่

มันเป็นความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างเขากับเธอ ตลอดเวลาเกือบเดือนในเพศบรรพชิต

ท่ามกลางความสงบ ในศีลอันเป็นทางนำไปสู่ความห่างไกลจากกิเลส

หลายครั้งที่เขาพยายามจะลืม

แต่ยิ่งพยายามเหมือนทำให้กระวนกระวายใจยิ่งขึ้น