ประกวดเรื่องสั้น : เด็กหญิง

AFP PHOTO / LILLIAN SUWANRUMPHA

โดย : กล้วยไม้

ผมตัดสินใจแล้ว ทุกอย่างจะต้องจบลงในวันนี้ ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผมจะต้องหายไป จะไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงความเป็นผมหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ ผมนั่งลงบนโต๊ะทำงาน หากระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งจากโต๊ะที่รกไปด้วยสเก๊ตช์และภาพถ่าย หยิบปากกาคอแร้งชนิดจุ่มหมึกเขียนมาปัดฝุ่นออก เพื่อไม่ให้ฝุ่นใยผ้าที่เกาะหัวปากกาทำให้หมึกเลอะเทอะ ผมเปิดขวดหมึกและลงมือเขียน

ความรู้สึกที่อยู่ในใจมันช่างรุนแรง เหมือนพายุ มันเป็นพลังขับเคลื่อนให้ผมเขียนสิ่งที่อยู่ในใจออกมา โหมกระหน่ำไม่ปรานี แม้แต่ผมที่เป็นเจ้าของความรู้สึกมันก็ยังไม่ปรานี หรือเพราะมันถูกกักขังเอาไว้นานกันนะ มันถึงได้เกรี้ยวกราด ไม่ปรานีต่อสิ่งใด

ถึงแม้จะชอบอ่าน ทักษะการเขียนของผมก็ไม่ได้ดีเด่อะไร ผมพยายามเขียนสิ่งที่ผมรู้ สิ่งที่ผมรู้สึก ความรู้สึกที่อยู่ลึกในใจ มันเคยอยู่ลึกมาก เพราะผมพยายามซ่อนมันเอาไว้ ควบคุมมัน ล่ามโซ่มัน กักขังมันเอาไว้ในกรงให้แน่นหนาที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่มีวันได้หลุดออก มันจึงซ่อนเร้นและเลือนราง แต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันชัดเจน มันออกมาแสดงตัวตน หลบหนีออกมาจากที่คุมขังเหมือนสัตว์ร้ายที่แหกกรงออกมา แสดงความก้าวร้าวอหังการ พุ่งชนทุกสิ่งที่ขวางหน้า เหยียบขยี้สิ่งที่อ่อนแอกว่าให้แหลกละเอียด

เมื่อลองอ่านสิ่งที่เขียน ผมต้องขยำโยนทิ้งแล้วเขียนใหม่ ผมไม่ควรทำให้ตัวเองดูน่าสงสาร ข้อความพวกนี้แสดงถึงความอดสูและน่าเวทนา เต็มไปด้วยอารมณ์รุนแรง ไม่ ผมไม่ต้องการให้ตัวเองเหมือนคนบ้าขาดสติ ไม่ต้องการให้ใครมาสงสาร ถึงแม้ตอนนี้ผมจะรู้สึกสมเพชเวทนาตนเองก็ตาม ผมมักจะสาปส่ง ด่าทอตนเอง ผมทำแบบนี้กับตนเองได้ เพราะนี่คือจิตใจของผม ร่างกายของผม ทุกอย่างผมเป็นผู้ถือครองสิทธิ์โดยชอบธรรม แต่ผมไม่ยอมให้คนอื่นมาด่าทอหรือสาปแช่งผมได้

สิ่งที่ผมเขียนมันออกมาใกล้เคียงกับสิ่งที่คิดไว้ ฉบับที่ 2 ทำให้ผมพึงพอใจ ผมวางมันไว้บนโต๊ะ ใช้ที่เขี่ยบุหรี่ทับ จากนั้นผมก็ควานหาบุหรี่ที่น่าจะยังเหลืออยู่ในที่ใส่ปากกาดินสอ ไม่พบสักมวน ผมลืมไปว่าตนเองใส่มันเอาไว้ในลิ้นชัก เป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมกับไฟแช็ก

ผมจึงเปิดลิ้นชักออกมา

ผมเทบุหรี่ที่มีทั้งหมดลงบนโต๊ะ เริ่มจุดบุหรี่ หยิบปืนออกมาจากลิ้นชักชั้นที่ 2 ผมคาบบุหรี่ไว้ที่มุมปากพร้อมกับใส่กระสุนปืน และวางมันไว้ตรงหน้า ผมพิจารณาปืน มันเป็นปืนของพ่อ สภาพเก่าเต็มที แต่ผมแน่ใจว่า มันยังใช้ได้ จากสักครั้งล่าสุดที่แม่ยิงพ่อไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมคอยดูแลมันเป็นระยะ ฉะนั้น ผมจึงมั่นใจว่ามันยังคงใช้ได้

ชีวิตคือตลกร้าย ตลกร้ายที่มนุษย์ชอบดู ตลกร้ายของผู้อื่นคือความบันเทิงชั้นเลิศ

ปืนที่ผมถืออยู่นี่ก็เป็นตลกร้าย ผมจุดบุหรี่มวนใหม่โดยไม่ละสายตามัน จับจ้องราวกับกลัวว่ามันจะหายไป วัตถุชิ้นนี้คืออนุสรณ์ให้คิดถึงพ่อแม่และตลกร้ายของพวกท่าน ชีวิตคู่ที่ไม่เป็นไปตามฝันหวานที่วาดเอาไว้เมื่อครั้งที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ความจริงของชีวิตมันไม่ได้หวานหยดย้อยเหมือนน้ำผึ้ง มันเหมือนจุมพิตที่อาบด้วยยาพิษ ยิ่งสัมผัสลิ้มรส มีแต่จะบั่นทอนและทำลายลงเรื่อยๆ ชีวิตคู่มันก็เป็นเช่นนั้น พอเบื่อความหวานเลี่ยนที่เต็มไปด้วยความปวดร้าว ก็ต้องการแสวงหาความหอมหวานที่ไม่สร้างความเจ็บปวดให้ตนเอง เมื่อคิดถึงเรื่องของพ่อแม่ทีไรผมก็ยังคงขำขื่นทุกครั้ง

ผมเองก็ไม่ต่างอะไรจากพ่อแม่ ชีวิตผมคือตลกร้ายชั้นเลวสำหรับชมแก้เบื่อระหว่างรอคิวเข้าพบหมอในโรงพยาบาล แต่ตลกร้ายชั้นเลวดีตรงที่ว่า เรื่องราวมันไม่เป็นที่น่าจดจำนัก ไม่นานผู้คนก็ลืมเลือน และแสวงหาตลกร้ายอื่นที่สนุกยิ่งกว่า

แอร์เย็นจัด แต่ผมกลับเหงื่อออก มันไม่แปลกหรอก ผมเข้าใจว่าเราต้องรู้สึกกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่รู้จัก ผมสูบบุหรี่ต่อเนื่อง ครุ่นคิดว่า ขมับ หรือ กรอกปาก แบบไหนถึงจะอนาถน้อยกว่ากัน จะได้ไม่เป็นที่ลำบากต่อคนที่มาพบร่างของผม

บุหรี่ใกล้หมด เวลาเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ผมมองดูรอบๆ ห้องของตัวเอง รำลึกถึงสิ่งต่างๆ รูปวาดผลงานของผม ภาพสเก๊ตช์ ข้อความในกระดาษที่เป็นวรรคทองหรือวลีที่ผมชื่นชอบแล้วเขียนติดตามผนัง สิ่งเหล่านั้นทำให้ผมลืมไปว่าผนังห้องเป็นสีอะไร มันคือมายา มายาที่ล้อมรอบตัวผม ผมหัวเราะกับตนเอง ผมสร้างมายาเหล่านี้ขึ้นมาและถูกพวกมันครอบงำ สิ่งเหล่านี้เป็นแค่เปลือกนอกที่ผมใช้หลอกคนอื่นและใช้หลอกตัวเอง เพื่อปิดบังว่าแท้จริงแล้วผมช่างกลวงเปล่าสิ้นดี

บุหรี่หมด…

ขี้เถ้ากองสูงเต็มที่เขี่ยบุหรี่ หมดเวลาทำใจแล้ว ผมหยิบปืนขึ้นมา สัมผัสถึงความเย็นเฉียบ รู้สึกสับสน หดหู่ และหวาดกลัว ความเย็นของวัตถุในมือซึมเข้าไปถึงหัวใจที่เต้นรัว มันคงไม่เจ็บปวด ผมบอกกับตัวเอง เหมือนกำลังปลอบเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้ ผมคงจะไม่รู้สึกอะไรมากนัก เมื่อกระสุนพุ่งเข้ามาในสมอง ประสาททุกอย่างก็จะดับไปพร้อมกับไฟชีวิต ทุกอย่างจะนิ่งเรียบเป็นเส้นตรง โลกหลังความตายจะเป็นอย่างไรกันนะ จะเต็มไปด้วยผู้คนที่อมทุกข์ หรือมีแต่ความสุขที่ได้ตัดขาดจากพันธะทั้งปวงของโลก แล้วถ้าผมเจอพ่อแม่ ผมจะทำหน้าอย่างไรดี ยิ้มให้พวกท่าน? ทำเป็นไม่รู้จัก? …ผมหวังว่าจะไม่เจอพวกท่าน

ผมตัดสินใจปลดล็อกเฟซจ่อปืนเข้าที่ขมับ…

“มันเจ็บนะ” มีเสียงหนึ่งพูดขึ้น ผมตื่นตกใจ

“มันเจ็บมากๆ เลยนะ” เสียงนั้นพูดขึ้นต่อ ผมเงยหน้าขึ้นเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าผม เด็กผู้หญิงผมยาว ดวงตากลมโตเหมือนตุ๊กตา เธอกำลังมองมาที่ผม คิ้วขมวดยุ่ง เหมือนไหมพรมที่เกี่ยวพันกัน

“มันเจ็บมากๆ เลยนะ” เธอกล่าวซ้ำ

“มันก็แค่ครู่เดียว” ผมตอบเสียงอ่อน พร้อมยักไหล่

“ไม่ ฉันไม่ได้หมายถึงปืน” เธอยืดแขนทั้งสองข้างออกมาข้างหน้า แขนเล็กๆ เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นทางยาว เหมือนกับโดนโบยตีด้วยแส้หรือไม้เรียว

“มันเจ็บมากๆ เลย หยุดเถอะ” ผมวางปืนลงและมองไปที่แขนทั้งสองข้างของเด็กหญิง ผมดึงเธอเข้าใกล้ พิจารณาแผลตามแขนของเธอ มันไม่ได้มีแค่นั้น ทั้งตัวเธอเต็มไปด้วยรอยแผลทางยาวและรอยฟกช้ำ ผมรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ ความเศร้าเข้ามาเกาะกุมทำให้ตัวผมลีบเล็กและอ่อนแอ ผมไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เธอได้เห็นด้วยการร้องไห้ แต่ผมไม่อาจห้ามน้ำตาตัวเองได้

“ฉันไม่ร้องไห้แล้ว เพราะฉะนั้น เธอไม่ต้องร้องไห้หรอกนะ” ผมเอามือขึ้นปิดตา ร้องไห้ เด็กหญิงกอดผม เธอกอดผมไว้ ทั้งที่ผมทำร้ายเธอขนาดนั้น โบยตีเธอขนาดนั้น เธอก็ยังไม่ทอดทิ้งผม

“ฉันคิดว่าเธอหายไปแล้ว”

“ไม่ ฉันไม่เคยไปไหน” เด็กหญิงดึงมือผมออกจากหน้า

“ฉันอยู่กับเธอเสมอ เธอต่างหากที่ทอดทิ้งฉัน ซ้ำยังโบยตีฉัน” แผลบนตัวเธอเป็นเครื่องยืนยันสิ่งที่พูด และมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวด

“ฉันขอโทษ” ผมกล่าว

“เธอไม่จำเป็นต้องขอโทษ”

“ฉันขอโทษที่ฉันอ่อนแอ” ผมกระซิบ เด็กหญิงยิ้มและเช็ดน้ำตาผม

“เธอยังมีฉันอยู่ ลืมไปแล้วเหรอ? จงเชื่อมั่นในฉัน เพราะฉันจะเป็นผู้มอบพลัง มอบความเข้มแข็งให้แก่เธอ ฉันมีพลังมหาศาลจนเธอคิดไม่ถึงเชียวล่ะ”

“เธอจะไม่หายไปใช่ไหม?” ผมถาม

“ฉันไม่เคยหายไปไหน” เธอยิ้ม โอบกอดรอบคอผม มันช่างอบอุ่นและนุ่มนวล น่าประหลาดที่ร่างกายเล็กๆ ของเธอสามารถทำให้ผมอบอุ่นเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของแม่ ความอบอุ่นที่ผมลืมไปแล้วว่ามันรู้สึกอย่างไร สิ่งที่หนักอึ้ง ความเจ็บปวดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ผมรู้สึกปลอดภัยในอ้อมกอดของเธอ

“ฉันอยู่กับเธอเสมอ และจะอยู่ตลอดไป” เธอจับหน้าผมขึ้นมองหน้าเธอ ดวงตากลมโตที่ใสกระจ่างเหมือนน้ำในบ่อ ผมมองเห็นภาพตัวเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเธอ แผลตามตัวของเด็กหญิงเลือนหาย

รอยยิ้มของเธอสว่างจ้า อบอุ่นเหมือนอาทิตย์ยามเช้า…

 

ผมเอาปืนออกจากขมับ วางลงบนโต๊ะ เอนหลังพิงเก้าอี้ ถอนหายใจยาว เมื่อเอากระสุนออกจากปืนแล้วผมก็ยัดมันกลับลงในลิ้นชัก เอาที่เขี่ยบุหรี่ไปทิ้ง เปิดม่านออก สัมผัสกับแสงแดดที่กระทบลงมาบนเนื้อผิว มองออกไปนอกหน้าต่าง ถนนที่ว่างเปล่า อาทิตย์เพิ่งจะขึ้นได้ไม่นาน ร้านรวงต่างๆ กำลังเปิด ผู้คนเริ่มออกมาปรากฏกาย แต่ละชีวิตยังคงดำเนินต่อไปตามวิถีที่ควรเป็น

ผมหันมองไปรอบห้อง ดึงเอาผลงานจอมปลอมทั้งหลายออกจากผนัง โยนโครมเข้าไปในห้องเก็บของ กลับมาที่โต๊ะ คว้ากระดาษและแท่งเกรยองหักๆ ออกมาจากกล่องแท่งหนึ่งและลงมือปาดเส้นแรก ผมไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ทุกอย่างเอ่อล้นออกมาจากตัวผม ความคิด ความรู้สึก มันช่างตื้นตัน

ผมยกมือขึ้นแตะที่อก ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของเด็กหญิงยังไม่จางหายไป