ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 มกราคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
ในตอนนี้เราขอต่อเนื่องด้วยการตามรอยผลงานของยอดสถาปนิกโมเดิร์นนิสม์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวกาตาลันอย่าง อันโตนี เกาดี กันต่อ ด้วยความที่เรายังอยู่ในเมืองบาร์เซโลนา ซึ่งมีชื่อเรียกขานว่า “นครแห่งเกาดี” (The City of Gaudí) เลยทีเดียว
เริ่มต้นด้วยการเก็บตกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับผลงานชิ้นเอกของเกาดีอย่างมหาวิหารซากราดาฟามีเลีย ที่เราลืมเล่าให้อ่านไปในตอนที่แล้วกันก่อน
อย่างที่บอกไปแล้วว่า มหาวิหารแห่งนี้เป็นผลงานสถาปัตยกรรมของเกาดีที่ยังสร้างไม่เสร็จจวบจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็มีการคำนวณเอาไว้ว่าเมื่อสร้างเสร็จแล้ว มหาวิหารแห่งนี้จะมีความสูงถึง 172.5 เมตร ซึ่งนับได้ว่าเป็นวิหารที่มีความสูงที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
แล้วที่เห็นผนังอาคารของมหาวิหารแห่งนี้มีร่องรอยตะปุ่มตะป่ำขรุขระแบบนี้ก็เพราะเกาดีได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากภูเขาหินผานั่นเอง (ว่ากันว่าเหมือนภูเขาเสียจนมีนกเหยี่ยวขึ้นไปทำรังบนหอระฆังของวิหารอยู่บ่อยๆ อะนะ!)
ด้วยความที่เกาดีต้องการให้มหาวิหารแห่งนี้แสดงการเฉลิมฉลองโลกแห่งธรรมชาติ ซึ่งเขาเชื่อว่าสร้างขึ้นโดยพระผู้เป็นเจ้า เขาจึงใช้แต่เส้นโค้งในการออกแบบมหาวิหารซากราดาฟามีเลียโดยแทบไม่มีเส้นตรงเลย
เพราะเขากล่าวว่า เส้นตรงนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในธรรมชาติ ซากราดาฟามีเลียจึงถูกเรียกขานในอีกชื่อว่าเป็น “มหาวิหารแห่งเส้นโค้ง”
และด้วยความที่เกาดีได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมหาวิหารแห่งนี้จากธรรมชาติ โถงทางเดินภายในจึงถูกออกแบบให้ดูคล้ายกับเป็นป่าขนาดยักษ์
เพดานของวิหารเองก็ปกคลุมด้วยแขนงและกิ่งก้านสาขาของเสาคานที่ดูคล้ายกับกิ่งไม้ใบไม้
แถมยังประดับด้วยสัญลักษณ์รูปสัตว์ต่างๆ อย่าง งู, กิ่งก่า, หอยทาก, นก อยู่จนทั่ว
องค์ประกอบเล็กๆ ที่น่าสนใจอีกส่วนหนึ่งของมหาวิหารแห่งนี้อยู่บนผนังด้านนอกของอาคาร ภายในผลงานประติมากรรมนูนต่ำ “พระทรมานของพระเยซู” ของ โจเซฟ มาเรีย ซูบิรักส์ ซึ่งปรากฏเป็นแผ่นหินสลักรูป “จัตุรัสมหัศจรรย์” หรือแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีชุดตัวเลขในแนวตั้งและแนวนอนที่เมื่อนำตัวเลขที่เรียงกันในแต่ละแถว แต่ละตอน หรือแม้แต่ในเส้นทแยงมุมมาบวกกันแล้วจะมีค่าเท่ากับ 33 เหมือนกันทั้งหมด
ซึ่งเลข 33 ที่ว่านี้เองที่เชื่อกันว่าเป็นอายุขัยของพระเยซูคริสต์ในยามที่สิ้นพระชนม์นั่นเอง
นอกจากมหาวิหารซากราดาฟามีเลียแล้ว ในเมืองบาร์เซโลนายังมีผลงานเด่นๆ ของเกาดีอีกมากมายหลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ ปาร์กกูเอล (Park Güell) บนเนินเขาการ์เม็ล ในเขตกราซิอา ที่เกาดีได้รับการว่าจ้างจาก เคาต์ เอาเซบี กูเอล (Count Eusebi Güell) ผู้อุปถัมภ์คนสำคัญของเขา ให้สร้างโครงการบ้านจัดสรรในสวน ตั้งแต่ปี 1900 ถึงปี 1914 โดยหวังว่าจะให้ที่นี่กลายเป็นชุมชนในอุดมคติที่แวดล้อมด้วยพื้นที่สีเขียว และสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
แต่สุดท้ายโครงการก็สร้างไม่เสร็จ และไม่มีใครสนใจมาซื้อบ้านและอยู่อาศัย
เกาดีจึงตัดสินใจย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านที่สร้างเสร็จหลังหนึ่ง และอาศัยอยู่ที่นั่นจนเขาเสียชีวิตในปี 1926
นับแต่นั้นมา ปาร์กกูเอลถูกเปลี่ยนให้เป็นสวนสาธารณะเทศบาล ที่ดึงดูดผู้มาเยี่ยมชมนับล้าน
บ้านที่เกาดีอยู่อาศัยก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์บ้านเกาดี (Gaudí House Museum) ไปในที่สุด
ปาร์กกูเอล เป็นอีกผลงานชิ้นเอกอันโดดเด่นของเกาดีไม่แพ้ซากราดาฟามีเลีย ด้วยการออกแบบอันเปี่ยมสีสันสดใส สนุกสนาน เปี่ยมจินตนาการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้เส้นโค้งเว้าของรูปทรงชีวภาพที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ
และการใช้เทคนิคตรังกาดิส หรือการใช้เศษกระเบื้องแตกๆ ค่อยปะติดเป็นลวดลายหลากสีสันประดับบนอาคารและสภาพแวดล้อมภายในสวนแห่งนี้
ซึ่งเศษกระเบื้องแตกๆ เหล่านี้ก็เป็นวัสดุเหลือทิ้งที่เก็บมาจากโรงงานเซรามิกในบาร์เซโลนานั่นเอง
องค์ประกอบที่โดดเด่นเตะตาเราที่สุดในสวนสาธารณะแห่งนี้คือ “The Serpentine Bench” ม้านั่งยาวเหยียดรูปร่างคล้ายกับงูทะเลที่ประดับด้วยเศษกระเบื้องหลากสีสัน บนดาดฟ้าของสวนสาธารณะ ให้ผู้มาเยี่ยมชมนั่งมองทิวทัศน์จากมุมสูงของเมืองบาร์เซโลนาอันงดงามสุดสายตา
ตัวที่นั่งที่ถูกออกแบบให้มีความโค้งเว้าคดเคี้ยวคล้ายกับลำตัวงู ซึ่งมีผู้สันทัดทางสถาปัตยกรรมเผยให้เราฟังว่า มันเป็นฟังก์ชั่นที่เปิดโอกาสให้ผู้นั่งหันหน้าเข้ามาพูดคุยสร้างปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันได้
แถมที่นั่งของม้านั่งเองก็มีส่วนเว้ารับสรีระของผู้นั่ง ลือกันว่า ขณะกำลังก่อสร้าง หนึ่งในคนงานก่อสร้างถึงกับถอดกางเกงนั่งประทับก้นลงบนปูนเปียกๆ เพื่อให้ที่นั่งโค้งเว้ารับบั้นท้ายให้นั่งสบายพอดิบพอดีกันเลยทีเดียว!
อีกหนึ่งคือ “El Drac” รูปปั้นน้ำพุรูปมังกร หรือกิ้งก่ายักษ์ ที่ประดับด้วยเศษกระเบื้องหลากสีสัน หมอบคลานอยู่ตรงบันไดทางขึ้นในสวนสาธารณะ ราวกับเป็นยามเฝ้าประตูก็ไม่ปาน
การใช้เทคนิคปะติดกระเบื้องแตกหรือตรังกาดิส ยังถูกใช้กับปล่องไฟของอาคารที่เป็นอีกหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของเกาดีอย่าง ปาเลากูเอล (Palau Güell) หรือ วังกูเอล (Güell Palace) คฤหาสน์ที่เกาดีออกแบบให้กับเคานท์กูเอลในช่วงปี 1886-1888
ปล่องไฟที่ว่านี้ดูราวกับเป็นปะการังในท้องทะเล หรือบ้านลูกกวาดในนิทานยังไงยังงั้น
หรือผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นของเกาดีอย่าง คาซามิลา (Casa Milà) ที่ เปเร มิลา (Pere Milà) มหาเศรษฐีชาวสเปน ว่าจ้างให้เขาออกแบบคฤหาสน์อันพิลึกพิลั่น บนถนนปาเสส เดอ กราเซีย (Passeig de Gràcia) ในเมืองบาร์เซโลนา ที่เต็มไปด้วยเส้นโค้งเว้า โดยไม่มีเส้นตรงเลยแม้แต่น้อย
คฤหาสน์แห่งนี้มีฉายาว่า “เหมืองหิน” ด้วยหน้าตาที่ดูคล้ายกับเหมืองหินบนภูเขามากกว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของคนปกติ
บนยอดหลังคายังประดับด้วยประติมากรรมรูปร่างคล้ายกับเหล่าบรรดานักรบในชุดเกราะโบราณ หรือไม่ก็เหล่ายักษา ผู้คอยพิทักษ์รักษาคฤหาสน์แห่งนี้อยู่
หรือผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นของเกาดีอย่าง คาซาบัตโย (Casa Batllö) ที่ตั้งอยู่บนถนนปาเสส เดอ กราเซีย เช่นเดียวกัน คฤหาสน์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1904 โดยดัดแปลงจากอาคารเก่า มันมีฉายาว่า Casa dels ossos (House of Bones) หรือ “บ้านแห่งโครงกระดูก”
ด้วยโครงสร้างของสถาปัตยกรรมภายในที่คล้ายกับกระดูกซี่โครง ทำให้เมื่อเดินเข้าไปภายใน ผู้เยี่ยมชมจะรู้สึกราวกับเดินเข้าไปภายในร่างกายของสิ่งมีชีวิต
เมื่อมองดูภายนอกจะเห็นระเบียงที่ดูคล้ายกับหัวกะโหลก ส่วนหลังคาและโครงสร้างภายนอกของอาคาร ก็มีเส้นสายที่ดูคล้ายกับหลังมังกรที่ลายพร้อยไปด้วยเกล็ดพร่างพรายตา น่าอัศจรรย์ใจ
ถึงแม้เกาดีจะเป็นหนึ่งในสถาปนิกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคสมัย และสร้างผลงานที่มีชื่อเสียงลือเลื่องเพียงใด แต่วาระสุดท้ายในชีวิตของเขากลับช่างน่าเศร้า เพราะเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุถูกรถรางชน ในขณะกำลังเดินไปโบสถ์ยามเช้า หลังจากที่ถูกรถรางชน เขายังไม่เสียชีวิตด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เขาแต่งกายซอมซ่อ (จากการหมกมุ่นกับงานจนลืมใส่ใจตัวเอง) จนคนผ่านไปผ่านมาคิดว่าเขาเป็นคนจรจัด ทำให้เขาไม่ได้รับการช่วยเหลือในทันที
เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าที่จะมีพลเมืองดีนำตัวเขาไปส่งโรงพยาบาล (กว่าคนจะจำได้ว่าเขาคือเกาดีก็ปาเข้าไปอีกวันแล้ว) ทำให้อาการของเขาทรุดหนักเกินกว่าที่จะเยียวรักษา
ในที่สุดเขาก็เสียชีวิตในวันที่ 10 มิถุนายน 1926 ด้วยวัย 73 ปี เหลือทิ้งไว้แต่เพียงผลงานอันน่ามหัศจรรย์ที่ส่งแรงบันดาลใจอันนับไม่ถ้วนแก่คนรุ่นหลัง
ดูรายละเอียดและสนนราคาค่าเข้าชมแต่ละที่ได้ที่นี่ : ปาร์กกูเอล shorturl.at/egmS0, ปาเลากูเอล shorturl.at/rtxE4, คาซามิลา shorturl.at/zEIW5, คาซาบัตโย shorturl.at/ilMVX
ข้อมูลจากหนังสือ BARCELONA City Trails โดย Moira Butterfield Lonely Planer Kids
อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022