ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 กันยายน 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
นักปฏิบัติการศิลปะแสดงสดอันยาวนาน
และยากลำบากสุดขั้ว
ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดที่ต่อเนื่องยาวนานจนทำให้ทุกคนตกอยู่ในสภาวะอันยากลำบากกันถ้วนหน้า
เราขอกล่าวถึงผลงานศิลปะของศิลปินผู้หนึ่งที่ทำงานเกี่ยวกับสภาวะที่ว่านี้กัน
ศิลปินผู้นั้นชื่อว่า เฉียเต๋อชิ่ง (Tehching Hsieh)
ศิลปินแสดงสดชาวไต้หวันผู้อพยพไปตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกา
เขาเป็นบุคคลที่ศิลปินเจ้าของฉายา “แม่ใหญ่แห่งศิลปะแสดงสด” มารีนา อบราโมวิช (Marina Abramovic) เรียกขานว่า “Master” (ปรมาจารย์) กว่าสามสิบปีของอาชีพศิลปิน เฉียทำงานศิลปะแสดงสดอันสุดแสนยาวนานและยากลำบากอย่างเหลือเชื่อ
เขาเกิดในปี 1950 ที่เมืองชนบทเล็กๆ ทางตอนใต้ของประเทศไต้หวัน
ในช่วงวัยรุ่น เฉียระเห็จออกจากโรงเรียนกลางคันเพื่อทุ่มเทเวลาให้การวาดภาพ
หลังจากเข้ารับการเกณฑ์ทหารได้สามปี และออกมาแสดงนิทรรศการเดี่ยวในหอศิลป์ในไต้หวัน เขาก็หยุดวาดภาพอย่างสิ้นเชิง และหันมาทำงานศิลปะแสดงสดที่เขาเรียกว่า “action” หรือ “ปฏิบัติการ” แทน
โดยเริ่มต้นจาก Jump Piece (1973) ปฏิบัติการแสดงสดครั้งแรก ที่เขากระโดดลงจากหน้าต่างอาคารชั้นสอง ในความสูง 15 ฟุต ลงมาบนพื้นคอนกรีต จนทำให้กระดูกข้อเท้าแตกทั้งสองข้าง
เขาใช้กล้องถ่ายหนัง 8 ม.ม. บันทึกภาพเอาไว้
ซึ่งวิธีการนี้เองที่ต่อมากลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่เฉียใช้ตลอดอาชีพการทำงาน
แต่ในช่วงเวลานั้น สถานการณ์ทางการเมืองของไต้หวันเต็มไปด้วยความอนุรักษนิยม ประชาชนและคนทำงานสร้างสรรค์ต่างถูกปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก
เฉียก็เป็นเช่นเดียวกับศิลปินหลายคนที่ต้องการหนีออกไปอยู่ในดินแดนที่มีเสรีภาพมากกว่าอย่างนิวยอร์ก ที่เป็น “ศูนย์กลางแห่งศิลปะของโลก”
แต่การขอวีซ่าอย่างถูกกฎหมายในยุคสมัยนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
ในปี 1974 เขาจึงสมัครเข้าทำงานเป็นกะลาสีในเรือบรรทุกน้ำมันที่มุ่งหน้าไปนิวยอร์ก แล้วลักลอบกระโดดลงจากเรือใกล้กับท่าเรือในฟิลาเดลเฟีย และจับแท็กซี่ไปยังนิวยอร์ก ที่ซึ่งเขาอาศัยและทำงานนับตั้งแต่นั้นมาเป็นระยะเวลาถึง 14 ปี ในฐานะผู้แอบลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายโดยไม่มีกรีนการ์ด จนได้รับการนิรโทษกรรมและกลายเป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกาในปี 1988
ถึงแม้จะเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นศิลปินอย่างแรงกล้า แต่เฉียก็ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอันโหดร้ายที่เขาเป็นคนต่างด้าวที่อยู่ในนิวยอร์กอย่างผิดกฎหมาย แถมภาษาอังกฤษก็ไม่กระดิก
เขาจึงต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานล้างจานและทำความสะอาดในร้านอาหาร และหลีกเลี่ยงการใช้ระบบขนส่งมวลชนอย่างเด็ดขาด เพื่อหลบหนีตำรวจตรวจคนเข้าเมือง
โดยแทบไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับแวดวงศิลปะอันคึกคักของนิวยอร์กในช่วงทศวรรษ 1970-1980 เลยด้วยซ้ำ
หลังจากต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนหาเลี้ยงชีพและต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ จากเงื้อมมือของกฎหมาย จนไม่มีแก่ใจหรือหัวคิดจะทำงานศิลปะอันใด
ในวันหนึ่งเขาก็ค้นพบวิธีการทำงานศิลปะอันแปลกใหม่ที่กลายเป็นแนวทางหลักในการทำงานของเขาในภายหลัง
วิธีการที่เขาไม่จำเป็นต้องออกไปแสวงหาข้อมูลหรือวัตถุดิบในการทำงานศิลปะจากที่ไหน เพราะเป็นสิ่งที่อยู่กับตัวเขามาตั้งแต่แรกแล้ว สิ่งนั้นก็คือ “เวลา” นั่นเอง
“สำหรับผม การทำงานศิลปะและการใช้ชีวิตมีสิ่งที่เหมือนกันคือการใช้เวลา ศิลปะทุกแขนงต่างก็มีที่มาจากชีวิตทั้งสิ้น”
ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 เขาเริ่มต้นทำงานศิลปะที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของศิลปะแสดงสด ด้วยปฏิบัติการแสดงสดที่กินเวลาต่อเนื่องถึงหนึ่งปีเต็ม โดยเริ่มจากผลงาน One Year Performance 1978-1979 (Cage Piece) ที่เฉียขังตัวเองอยู่ในห้องติดลูกกรง ภายในมีเพียงอ่างล้างหน้า หลอดไฟ ถังสำหรับขับถ่าย และเตียงนอนแคบๆ
ในช่วงเวลาหนึ่งปี เขาไม่อนุญาตให้ตัวเองพูดจาสื่อสารกับใคร ไม่อ่าน เขียน ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรือรับรู้ข่าวสารจากภายนอกโดยสิ้นเชิง
มีเพียงเพื่อนของเขาที่คอยส่งอาหาร น้ำ เก็บขยะ/ของเสียจากเขา และบันทึกภาพเขาเอาไว้วันละหนึ่งภาพทุกวัน
ปฏิบัติการแสดงสดที่ว่านี้ถูกจับตาอย่างเข้มงวดโดยพยานและทนาย เพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ออกจากห้องเลยเป็นเวลาหนึ่งปี
โดยเปิดให้ผู้ชมเข้ามาสังเกตการณ์กิจวัตรประจำวันอันไร้แก่นสารของเขาทุกๆ สามอาทิตย์ในช่วงเวลา 11 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น
หลังจากจบผลงานแรกในเดือนกันยายน 1979 ในเดือนเมษายน 1980 เฉียเริ่มทำปฏิบัติการแสดงสดครั้งที่สามของเขาอย่าง One Year Performance 1980-1981 (Time Clock Piece) ด้วยการโดดเดี่ยวตัวเองอยู่ในสตูดิโอ และบันทึกการไหลผ่านของเวลาด้วยการตอกบัตรในเครื่องบันทึกเวลาในทุกๆ ชั่วโมง ตลอดหนึ่งปีเต็ม ไม่ว่าเวลานั้นเขาจะกินอาหาร นอนหลับ หรือขับถ่ายอยู่ก็ตาม
ในแต่ละครั้งที่ตอกบัตร เขาจะถ่ายภาพตัวเองเอาไว้หนึ่งภาพ (ซึ่งต่อมาถูกนำมาร้อยเรียงกันเป็นวิดีโอความยาว 6 นาที แสดงภาพของเฉียในเวลาหนึ่งปี ตั้งแต่ตอนผมสั้นเกรียนไปจนผมยาวรุงรัง)
ผลงานชิ้นนี้ของเขาอ้างอิงไปถึงตำนานเทพปกรณัมของซิซีฟัส ผู้ถูกสาปให้เข็นก้อนหินขึ้นภูเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าไปชั่วนิรันดร์
เฉียกล่าวถึงประสบการณ์ที่เขาได้รับในครั้งนั้นว่า “ไม่ต่างอะไรกับการอยู่บนปากเหวนรก ที่ถูกสาปให้ต้องรอตอกบัตรครั้งต่อไปอย่างไม่รู้จบ”
ถึงแม้เฉียจะปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่ศิลปินหัวการเมือง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลงานชุดนี้ของเขาแฝงนัยยะอุปมาไปถึงวิถีชีวิตอันยากเข็ญ ซ้ำซากจำเจ แห้งแล้งและไร้ซึ่งความหวังของชนชั้นแรงงานในระบบอุตสาหกรรม
ในขณะที่ผลงานชุดต่อมาของเขาก็แสดงออกถึงความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกันทางชนชั้นได้อย่างทรงพลัง อย่างผลงาน One Year Performance 1981-1982 (Outdoor Piece)
ที่เขาใช้ชีวิตในพื้นที่กลางแจ้งเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม โดยไม่อนุญาตให้ตัวเองเข้าไปอยู่ภายในอาคาร สิ่งก่อสร้าง หรือพาหนะที่มีหลังคาคลุมหัวเป็นอันขาด
ตลอดหนึ่งปีเขาระหกระเหินไปทั่วนิวยอร์กในช่วงฤดูหนาวที่หนาวจัดเป็นประวัติการณ์ โดยมีเพียงกระเป๋าเป้และถุงนอนเท่านั้น (มีเพียงครั้งเดียวที่เขาละเมิดกฎเพื่อไปขึ้นศาลจากการถูกจับกุมในข้อหาเป็นคนจรจัด)
ในปี 1983 เฉียเปลี่ยนจากการปฏิบัติการแสดงสดแบบฉายเดี่ยวมาทำงานเป็นคู่ ในผลงาน Art / Life : One Year Performance 1983-1984 (Rope Piece) ที่เขาและศิลปินหญิงชาวอเมริกัน ลินดา มอนทาโน (Linda Montano) ผูกตัวเองเข้าด้วยกันที่เอวด้วยเชือกความยาว 8 ฟุต และอาศัยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันทั้งในห้องพักและภายนอก เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม โดยไม่สัมผัสตัวกันและกันเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเริ่มปฏิบัติการแสดงสด ทั้งคู่โกนหัวและปล่อยให้ผมค่อยๆ ยาวขึ้นในเวลาหนึ่งปี พวกเขาทำทุกๆ กิจวัตรร่วมกัน
หลายครั้งเฉียต้องเดินทางไปสอนหนังสือร่วมกับมอนทาโนด้วย
หลังจากนั้นในปี 1985 เฉียทำปฏิบัติการอีกชุดของเขาอย่าง One Year Performance 1985-1986 (No Art Piece) ด้วยการไม่ยุ่งเกี่ยวกับศิลปะในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ เขาไม่สร้างงานศิลปะ ไม่พูดถึงศิลปะ ไม่ดูสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ ไม่อ่านหนังสือใดๆ ก็ตามที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับศิลปะ และไม่เข้าพิพิธภัณฑ์ศิลปะหรือหอศิลป์ใดๆ ก็ตามเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม
ในปี 1986 เฉียเริ่มต้นสร้างผลงานชุดสุดท้ายของเขาที่มีชื่อว่า Tehching Hsieh 1986-1999 (Thirteen Year Plan) โดยประกาศว่า
ในระหว่างนี้เขาจะวางแผนทำปฏิบัติการศิลปะชุดหนึ่งโดยไม่แสดงสู่สาธารณะ ปฏิบัติการครั้งนี้จะเริ่มต้นในวันเกิดครบรอบอายุ 36 ปีของเขา ในวันที่ 31 ธันวาคม 1986 และจบลงในวันที่เขามีอายุ 49 ปี ในวันที่ 31 ธันวาคม 1999 โดยในวันที่ 1 มกราคม ปี 2000 เขาออกแถลงการณ์สรุปปฏิบัติการศิลปะที่กินเวลายาวนานถึง 13 ปี ของเขาว่า ผลงานที่ว่าคือ “การที่เขามีชีวิตอยู่รอดจนผ่านวันที่ 31 ธันวาคม 1999 มาได้” นั่นเอง
หลังจากปฏิบัติการศิลปะชุดสุดท้ายของเขาจบลง เฉียประกาศยุติบทบาทศิลปินและปฏิญาณว่าเขาจะไม่ทำงานศิลปะอีกต่อไป เขากล่าวว่า
“ผมไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไปแล้ว”
ถึงแม้เขาจะไม่เป็นที่รู้จักในแวดวงศิลปะเท่าไรนักในช่วงแรกของอาชีพการทำงาน มีเพียงการกล่าวขานจากปากต่อปากเท่านั้น
เขามาได้รับความสนใจในวงกว้างก็เมื่อช่วงปี 2009 หลังจากที่หยุดทำงานศิลปะไปเกือบสิบปีแล้ว
แต่ในขณะเดียวกัน ปฏิบัติการแสดงสดของเขาเองก็ขยายพรมแดนของศิลปะแสดงสดให้กว้างไกลขึ้นอย่างมหาศาล ด้วยการสำรวจความหมายของเวลาและธรรมชาติการดำรงอยู่ของมนุษย์ ด้วยกิจกรรมอันเรียบง่ายธรรมดาสามัญแต่ทำได้อย่างลำบากยากเข็ญสุดขั้ว และส่งแรงบันดาลใจให้ศิลปินแสดงสดรุ่นหลังมากมาย
ดังคำกล่าวของศิลปินแสดงสดตัวแม่อย่างมารีนา อบราโมวิช ที่ว่า
“ผลงานของเขาเป็นเครื่องมือในการยอมรับชีวิตอย่างที่มันเป็น นั่นทำให้งานเหล่านี้ไม่มีวันตาย เพราะมันพูดถึงธรรมชาติของชีวิตนั่นเอง”
ข้อมูล www.tehchinghsieh.com, https://bit.ly/3BcHpH7, https://bit.ly/3DfIxeU, https://bit.ly/3kdPm80