ฉัตรสุมาลย์ : ทัศนคติของหมอฟัน

ผู้เขียนทำฟันมา 60 กว่าปีแล้ว ไม่เคยถูกหมอฟันดุเท่าวันนี้

สืบเนื่องจากที่ไปอินเดียมานั่นแหละค่ะ อากาศข้างนอกหนาว 7 องศา พอเข้าไปข้างในไปดื่มชาร้อน ตะกั่วที่อุดฟันไว้มันเลยหลุดออกมา

กำลังจิบชาแขกกับกินเค้ก ตกใจว่า ลูกซื้อเค้กอะไรมีก้อนหินติดมาด้วย คายออกมา ที่แท้คือตะกั่วที่อุดฟัน ว้ายตาย

อีทีนี้ เป็นเรื่องใหญ่ละซี หมดอร่อยชาแขกไปเลย

รีบส่งไลน์ไปบอกลูกที่เมืองไทยให้ขอนัดหมอฟันที กว่าจะได้อีกสองอาทิตย์ ก็โน่น วันที่ 14 วันวาเลนไทน์

โชคดีว่า ฟันที่ตะกั่วหลุดนั้น แม้ว่ารูจะใหญ่ แต่ไม่น่าลึก เพราะไม่ปวด ถ้าลึกเข้าไปถึงรากฟัน ปลายประสาทจะรับรู้ก็น่าจะทรมานเยอะอยู่

หลวงพี่รูปหนึ่งแนะว่า ถ้าไม่อยากรอหมอที่คลินิกก็ลองไปโรงพยาบาลนครปฐมก็ไม่เลว แผนกทันตกรรมเขามีตั้ง 30 เตียง เป็นธรรมดาที่อาจจะต้องรอนานกว่าคลินิก

แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องรอถึงวันวาเลนไทน์

 

เช้านั้น รีบรับประทานอาหารเช้าแล้วไปโรงพยาบาล เราขึ้นไปชั้นสามเลย ชั้นนี้ก็มีทั้งคนไข้ตา หู คอ จมูก คนไข้จิตเวช และทันตกรรม อยู่กันคนละด้านของตัวอาคาร

ผู้เขียนไม่เคยไป ก็ตรงไปทางแผนกทันตกรรม พยาบาลชี้ให้ไปลงทะเบียนเสียก่อน กลับมา แล้วสัมภาษณ์เก็บข้อมูลเบื้องต้น แล้วให้ไปวัดความดัน ว้าย ความดันขึ้นไป 167 ก็ตาลีตาเหลือกรีบร้อนขึ้นบันไดมา 3 ชั้นนั่นแหละ

ไปนั่งรอ เรียกขวัญตัวเองสักพัก แล้วไปวัดความดันใหม่ 138 แล้วเอาผลไปส่งพยาบาล ทีนี้เราก็ไปนั่งรอ

คนไข้ก็เยอะ พยาบาลก็เยอะ ใจชื้นหน่อย หมอเริ่มเดินเข้ามาตอน 9 โมง เราไปตั้งแต่ 7 โมง 56 นาที เขาลงบันทึกเวลาที่เราไปถึงโดยอัตโนมัติเลยค่ะ

โรงพยาบาลนี้น่ารักมาก มีป้ายว่าจะดูแลเป็นพิเศษ สำหรับผู้สูงอายุกว่า 70 และภิกษุ ภิกษุณี นี่เป็นโรงพยาบาลที่สองค่ะที่ระบุภิกษุณี แห่งแรกที่เห็นคือ โรงพยาบาลบ้านแพ้ว

ขอขอบคุณ

 

น่าจะสัก 9 โมงครึ่ง จึงเรียกชื่อให้เราไปนั่งเก้าอี้หน้าห้อง มีหลายประตู พอคนที่อยู่ข้างหน้าเราลุกไป เราก็ขยับไปนั่งแทนที่เขา พอจะขยับครั้งที่ 3 เจ้าหน้าที่ก็มารับแฟ้มประวัติที่เราถืออยู่ในมือ แล้วให้เราเดินตามเข้าไป

แอบดูข้อมูลของตัวเองในแฟ้ม เออ เขาใส่วันที่และเดือนเกิดผิด จาก 6 ตุลาคม กลายเป็น 1 กรกฎาคม ไม่เป็นไร พ.ศ. ยังถูกต้อง

เราเดินตามอย่างว่าง่ายไปที่เตียงทำฟันด้านในสุด คุณหมอเป็นผู้หญิงค่ะ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี แต่ประเดี๋ยวก็จะรู้แหละ

เรื่องการรักษา ไม่เกี่ยง และไม่มีอคติทางเพศว่าจะต้องหมอผู้หญิงดีกว่า หรือหมอผู้ชายดีกว่า

คุณหมอฟันที่รักษาที่คลินิกประจำก็เป็นผู้ชาย สุภาพเรียบร้อยน่ารักมาก

ชี้ให้คุณหมอดูถึงปัญหา คือตะกั่วที่อุดฟันซี่บนสุดหลุด คุณหมอตรวจดูแล้วว่า อาจจะอุดแล้วแตก เพราะเนื้อฟันเหลือน้อย ควรทำครอบ เราก็เข้าใจ เป็นอันว่า วันนี้คุณหมอจะอุดไปให้ก่อน แต่ถ้าแตกก็ไม่ว่ากันนะ

“อ้า อ้า ค่ะ อ้าให้กว้างที่สุด” คุณหมอว่า

ผู้เขียนก็อ้าปากกว้างที่สุดนั่นแหละ

“หายใจทางจมูกค่ะ”

เออ ก็ใช่นะเราก็หายใจทางจมูกอยู่แล้วนี่นา

ตาก็ถูกปิด จมูกก็ต้องหายใจ

“ไม่ต้องเกร็งค่ะ”

อ้าวเหรอ เราเกร็งอยู่เหรอ ไม่รู้ตัวนะ

โอ้โฮ แต่มือบีบกันเองแน่นเลย โชคดีเท่าไหร่แล้วที่บีบมือตัวเอง ไม่ได้ไปบีบมือหมอ

“อ้าไว้ค่ะ”

เออ เราก็อ้าไว้ตลอดเลยนะ

“อ้ากว้างที่สุดค่ะ”

คราวนี้เป็นเสียงผู้ช่วยพยาบาลที่ต้องคอยดูดน้ำออกจากช่องปาก

“หายใจทางจมูกค่ะ”

เออ เราก็ว่า เราหายใจทางจมูกมาตลอดนะ คราวนี้ถึงตอนยาก

“อย่ากลืนน้ำค่ะ”

มันเป็นไปโดยอัตโนมัตินะ

“บอกว่า หายใจทางจมูก”

เออ เราก็ทำอยู่นี่ แต่ตอนที่กลืนน้ำลายน่ะ มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ เราไม่ได้แกล้งนะ

ตอนนี้ หมอชักยัวะ เสียงบอกอารมณ์

“ให้อ้าไว้กว้างที่สุด”

ขากรรไกรมันตกลงมาเพราะความเมื่อย แต่ไม่ถึงขนาดงับมือหมอนะ

“ช่วยหมอหน่อย ซี่นี้ทำยาก”

เออ เราก็รู้นะ และก็พยายามทำตามที่หมอบอกที่สุดนั่นแหละ

แต่หมอรู้หรือเปล่าว่า หมอไม่มีเวลาให้คนไข้พักเลย อ้าขากรรไกรกว้างที่สุดโดยไม่ตกเลยตลอด 30 นาทีไม่ใช่เรื่องปกตินะ หมอรู้หรือเปล่า

คราวนี้ดันไปกลืนน้ำอีก

“ไม่ต้องกลืน หายใจทางจมูกไว้”

เออ หายใจทางจมูกแล้วมันจะระบายน้ำที่คอได้หรือ

แล้วที่เรากลืนน่ะ มันเป็นไปเอง ยิ่งหมอเสียงดัง คนไข้ยิ่งไอ สลับกับสำลักน้ำ

“หายใจทางจมูก ทำสมาธิไปเลย”

นึกในใจว่า สงสัยมาตายกับหมอฟันวันนี้แน่เทียว

ผู้เขียนรีบบอกขอโทษที่เราทำไม่ได้ดังใจหมอ

รู้สึกว่า ไปทำฟันวันนั้น เหมือนกับถูกยมบาลชี้ชะตาก็ไม่ปาน

พอหมอบอกว่า เสร็จแล้ว รีบโซซัดโซเซลุกขึ้นยืน ไม่ทันได้กล่าวคำขอบคุณที่ยังไว้ชีวิตผู้เขียนไว้ มิฉะนั้น คงไม่มีโอกาสมาเล่าให้ผู้อ่านฟัง

 

ผู้เขียนเป็นข้าราชการบำนาญ ทำเรื่องจ่ายตรงไว้ ออกมาแล้วก็ไม่ต้องเสียเงินเอง เพราะรัฐบาลดูแลให้สมกับที่เราได้รับใช้ราชการมาเกือบ 30 ปี โดยไม่เคยมีค่ารักษาพยาบาลเลย

กลับมา สลบเลยค่ะ เหนื่อยเพราะถูกหมอดุ ทำไมเราก็ทำฟันมา 70 ปีแล้ว ถึงไม่เคยโดนดุแบบนี้ หรือเป็นเพราะเราไปคลินิก หมอเขาดูแลเราเป็นพิเศษ

แต่ถ้าเราไปรับบริการของรัฐ หมอ คือคนของรัฐเขาสามารถดุเราได้ เพราะเขาเห็นว่าเราไม่ต้องจ่าย เขาไม่ต้องรักษาน้ำใจคนไข้ เพราะคนไข้ก็ไม่ได้เสียเงิน แต่หมอคนเดียวกันนี้ ถ้าทำคลินิค หมอก็จะปฏิบัติต่อคนไข้ด้วยดี

มันเป็นที่ทัศนคติหรือ หมอคนเดียวกันสามารถจะมีท่าทีต่อคนไข้แตกต่างกันขนาดนั้นเชียวหรือ

ตัวแปรอย่างเดียวคือ โรงพยาบาลของรัฐ กับคลินิกส่วนตัว

คุณหมอคงลืมไปว่า คนไข้ก็เป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีเหมือนกับหมอนั่นแหละ คำสั่งที่หมอสั่ง แล้วคนไข้ทำไม่ได้ ไม่ใช่เพราะคนไข้ดื้อ หรือไม่ฟังคำสั่ง แต่เป็นคำสั่งที่ปฏิบัติไม่ได้

ต้องเก็บข้อมูลจากหมอฟันท่านอื่นว่า กรณีคนไข้กลืนน้ำขณะทำฟันนี้ ควรจะแนะนำอย่างไร ถ้าจะให้คนไข้ไม่ต้องกลืนน้ำ ก็รีบดูดน้ำออกซี

อาจารย์หมอฟันสอนมาว่าอย่างไรคะ

อย่าบอกนะว่า ให้หายใจทางจมูก