ทวีปที่สาบสูญ : เราจะหยุดร้องไห้ได้ยังไง โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

 

ระริน… ฉันยินเสียงนั่น

ที่กรีดบาดฉันในฝันหลอกหลอน

อ้ายหมารอยเดินลิ่วๆ ไปข้างหน้า มองเห็นแผ่นหลังชุ่มเหงื่อ กับชายเสื้อที่โดนลมเป่าปลิว ฉันพยายามจะขยับตัวลุก แต่ก็เหมือนแขนขาหนักอึ้ง กระดิกกระเดี้ยไม่ได้

เสียงใครเป่าปากมาดังวู่ๆ แล้วทันใด อ้ายเด็กกระออมก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา ตาแจ่มกระจ่างสดใส ป้ายน้ำมูกข้างแก้มอย่างว่องไว ร้องว่า

– มาเร็วๆ ซี่! พี่! มาไวๆ

ฉันอยากตะโกนตอบไปว่า กูลุกไม่ได้! แต่หนักตัวไปหมด พยายามจะอ้าปากปล่อยเสียง กลับทำได้เพียงสัมผัสความสะท้านสั่นในร่างกายตัวเอง แสบคอเหมือนกลืนทรายลงสักกำมือ

แสงตะวันสาดส่องลงมาจากท้องฟ้า และแล้วอ้ายหมารอยก็หยุดเดิน เหลียวกลับมามอง

แววตานั้นเหยียดเยาะเย้ย

– ไงล่ะมึง! อวดเก่งอวดดีนัก เป็นยังไงเล่า!

ฉันอยากจะพูดโต้ตอบว่า มึงอย่ามาปากหมากับกู! โชคดีมีสุขก็มาช่วยเหลือกูบ้าง!

แต่ทันใด ก็ให้รู้สึกอับอายเกินกว่าจะกล่าวคำแบบนั้นออกมา – ไหนว่ามึงจะไปด้วยสองแขนสองขา มึงจะไม่หวังพึ่งใคร มึงจะถ่มน้ำลายรดฟ้าได้หรืออีพี่!

น้ำตาทะลักออกมาอีกแล้ว ดังก้อนมวลมหึมาดันผ่านมาจากโพรงอกมืดมน บ่าไหลและดันเซาะจนไม่อาจจะยับยั้ง

กูจะไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร…ถ้ากูต้องตายดับ ก็ขอให้กูตายไป…

– คิดรึ ว่ามึงจะหนีไปได้ง่ายๆ! – ใบหน้ากร้านเกรียมชะโงกเข้ามาแทนที่

ตาที่ลุกวาว ปากใต้หนวดหนาแสยะออก เจ็บแปล๊บทันทีที่โดนขยุ้มเส้นผม

– อีนางลูกหมา! ตัวเท่าลูกหมา คิดรึว่าจะลูบคมกู!

ฉันพยายามดิ้นรนกระเสือกกระสน ทรมานยิ่งกว่าความตายคือการไม่ตายสักที…ใช่ไหม เวลาที่ยังรู้สึกรู้สา ร้าวเจ็บไปทั่วสรรพางค์กาย ผิวเนื้อครูดไปกับสิ่งที่สากระคาย…พื้นปูนหยาบหรือกรวดหินดินทรายกันแน่ เวลาหน้าต้องไถแนบไปกับพื้น

อ้ายหมารอยยิ้มอีกเป็นครั้งสุดท้าย หันหลังจะเดินจากไป

– จะฆ่ากันอีกแล้ว! จะฆ่ากันอีกแล้ว!

เสียงเด็กกระออมลั่นขึ้น อ้ายหมารอยหันกลับมา

หัวเราะร่า

– ดี! ฆ่ากันเสียให้หมด มึงตายๆ ไปเสียก็ดีอีพี่! อยู่ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา…มึงอยากตายอยู่แล้วนี่!

ฉันอยากขว้างอะไรสักอย่างใส่ใบหน้าโสมมนั่น แล้วก็อยากให้เวลาอันแสนทรมานรีบจบๆ ลงเสีย หากความตายจะช่วยให้ทุกอย่างสิ้นสุดลง

…ทุกๆ คนคงจะพอใจ

– อีหนู! อีหนู! – แต่เสียงใครเรียกฉัน

– ตื่นเถอะอีหนู! อย่าขี้เซานักเลย เป็นเด็กเป็นเล็ก! ตื่นสิ ตื่น!

 

 

ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น ความรู้สึกแรกคือพร่ามัวและระคายเคือง ปิดเปลือกตาลงอย่างเร็วอีกครั้ง จังหวะที่กะพริบตาอีกหนนั่นเอง ก็ยินเสียงคุ้นหู

“…อีหนูมันฟื้นแล้ว!”

ใบหน้าคนยื่นเข้ามาใกล้ มือหนาๆ โบกไกวเหนือใบหน้าของฉัน

“รู้สึกตัวแล้วจริงๆ…อีหนู เป็นยังไงบ้าง!”

ฉันยังไม่ตาย…และนอนอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ยังขยับตัวลำบากเหมือนในความฝัน พยายามจะยันตัวลุก ก็เจ็บแปล้บจนต้องทิ้งหัวลงไป

“อย่าเพิ่ง…นอนเฉยๆ ก่อน”

ใบหน้านั้นชัดขึ้นเรื่อยๆ คางรูปสี่เหลี่ยม ผิวออกเข้มกร้านแดด ร่างสูงใหญ่กว่าผู้หญิงทั่วไป

อามิน

และอีกคนที่ยืนข้างๆ

…นางปัน

– นางฟ้า…นางฟ้าของฉันล่ะ

“…เป็นยังไงบ้าง” คำถามพุ่งมา

“…เจ็บ” เปล่งเสียงออกไปเป็นคำแรก

“ก็สมควรเจ็บอยู่หรอก” น้ำเสียงฟังคล้ายเวทนา มือใหญ่กดไหล่ “อย่าเพิ่งขยับตัว นิ่งๆ ไว้ก่อน เดี๋ยวจะเอาน้ำมาให้ หิวมั้ย อยากข้าวอยากน้ำหรือเปล่า”

“…ระ…ระริน” ฉันพยายามจะพูด

“ไม่ต้องห่วง หนูรินกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว”

ใจฉันดิ่งวูบลง เหมือนตกจากที่สูงกะทันหัน เวียนหัวและคลื่นไส้ขึ้นมาพร้อมกันนั้น อยากจะพูดอะไรอีก เพดานกลับหมุนติ้วๆ

ถลันจะลุก แต่แรงดันในช่องท้องก็พรวดขึ้นมา ปากอ้าออก น้ำฮากทะลักพรวด

 

 

“กินน้ำก่อน…อีหนู ค่อยๆ จิบ”

ผู้หญิงร่างใหญ่ถือแก้วน้ำไว้ในมือ ประคองช่วยฉันช้าๆ จนลุกมานั่งพิงฝาได้ แต่ขยับเพียงนิดเดียวก็เจ็บร้าวไปทั้งกาย

โลกค่อยๆ กลับคืนมาในสายตา เป็นเวลากี่โมงยามไม่รู้ได้ แต่ฉันกำลังอยู่ในที่อื่น ไม่ใช่บ้านของชายสถุลคนนั้น ยกมือขึ้นแตะหัวตัวเอง สัมผัสบางสิ่งที่แปลกไป

“เดี๋ยวก็ขึ้น ไม่เป็นไรหรอก”

ตอนแรกฉันยังไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร จนกระทั่งลูบมือบนหัวตัวเองอีกครั้ง สะดุดกับผ้าที่พันไว้ และเส้นผมที่หายไป

“หัวแตก ปากแตก แผลถลอกเยอะหน่อย แต่ดีกระดูกอื่นไม่เป็นอะไร…เจ็บแผลมากมั้ยล่ะ”

เจ็บมาก ความรู้สึกบอกฉันแบบนั้น แต่เฝื่อนคอจนไม่รู้จะพูดอย่างไร

โชคดีหรือโชคร้าย…ฉันยังไม่ตาย ยังหายใจได้อยู่

“…ที่นี่ที่ไหน”

“ที่สวนสิ ดีนะ หนูรินมาตามให้ออกไปช่วย เกือบจะได้ฆ่ากันตายแทนแล้ว…คนอะไร นิสัย…”

พูดพลางสบถไปอีกหลายคำ จังหวะนั้น หญิงผิวขาวก็รีบร้อนเข้าห้องมา

“…เป็นยังไงบ้างแล้ว”

“ฟื้นแล้ว” คนที่นั่งดูฉันอยู่ตอบ “แต่คงต้องรอดูอาการอีกสักพัก”

“…ฉันตายลืมไปหรือ” ถามออกไป

เจ้าของบ้านพยักหน้า

“เอาตัวขึ้นรถมาได้ก็สลบไปเลย นึกว่าจะต้องบึ่งไปโรงพยาบาลแล้วนะ แต่ไม่อยากให้เป็นเรื่องอื้อฉาวไปมากกว่านี้ เห็นแก่หลาน เลยเอามาทำแผลให้ที่นี่”

“…แล้วเขาล่ะ”

“ใคร ไอ้นั่นนะรึ”

น้ำเสียงฟังไม่ชอบพออย่างหนัก

“เกือบฟาดมันไปเหมือนกัน ไม่ได้อยากเข้าไปเหยียบเล้ย” ลงเสียงหนัก “ถ้าไม่ใช่หนูรินมาตามเองละก็…ปล่อยให้โดนลากคอเข้าคุกคงจะดีเหมือนกัน”

“พอเถอะ ช่วยเด็กออกมาได้ก็ดีแล้ว”

“นี่ก็ต้องระวังล่ะ เผื่อมันบ้าตามมาอาละวาดถึงนี่…แต่มาก็ดีเหมือนกัน โดนข้อหาบุกรุกแน่”

 

 

ฉันยังไม่รู้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองบ้านนี้ แต่ก็รู้แล้วว่า ตัวเองรอดพ้นมาจากนรกบนดินแห่งนั้นอย่างฉิวเฉียดเพราะใคร ใบหน้าของนางฟ้าหวนกลับมาในความทรงจำครั้งแล้วครั้งเล่า กับเสียงกรีดร้องและหยาดน้ำตาของเธอ

ขยับตัว…ยังคงปวดแปลบไปหมด เหมือนแขนขาทรยศ ในหัวเต็มไปด้วยความรวดร้าว โหนกแก้มมีเลือดไหลซิบอยู่ เม็ดกรวดคงครูดฝังเข้าไปในเนื้อและทิ้งร่องรอยอันเจ็บแสบเอาไว้ ทุกอย่างล้วนแต่เป็นอนุสรณ์ ให้ฉันสังวรสำนึกว่า

…กูมันคนสิ้นไร้ไม้ตอกนักหนา

เป็นแค่ “อีพี่” คนที่ไร้น้ำยา

และอย่าหวังเลยว่าจะไปถามความยุติธรรมจากใคร

ในโลกที่พูดกันด้วยกำปั้น แรงเตะ การกระทืบ กระแทก

…เสียงปืน

ความตายเท่านั้นจึงจะยุติทุกสิ่งได้

 

“กินอีกหน่อยสิ”

หญิงร่างใหญ่เดินเข้ามาใกล้เหมือนทุกวัน และมองดูชามที่ฉันวางทิ้งไว้

“กินน้ำข้าวก็ยังดี”

ฉันยันตัวลุกนั่ง ใจอยากจะหนีหายไปให้พ้นจากที่อยู่ แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำได้ ไม่ต้องพูดถึงสภาพที่โดนโกนผมไปครึ่งหัว ได้ส่องกระจกบานเล็กเพียงครั้งเดียวก็ไม่อยากดูตัวเองอีก ทุเรศทุรังนักหนา

ตั้งแต่ฟื้นจากสลบมา หญิงวัยกลางคนทั้งสองก็ดูแลฉันเหมือนคนในครอบครัว แม้แต่การเช็ดตัวให้ ช่วยป้อนข้าวปลาอาหาร อีกยังระแวดระวังอยู่ ห้ามมิให้ฉันออกห้องไปไหน คนในบ้านเองจะขึ้นเรือนได้ มีไม่กี่คนเท่านั้น

แต่ผ่านมาหลายวัน ทุกอย่างยังเงียบกริบ

พ่อของระรินไม่ได้ตามมา

บางทีฉันก็นึกไม่ออกว่า…อะไร ทำให้มนุษย์คนหนึ่งโหดร้ายกับมนุษย์ด้วยกันเพียงนั้น จะว่าเพราะเมาอย่างเดียวมันคงไม่ใช่…กับสิ่งที่ฉันได้รับมา

ขณะเดียวกัน อะไรทำให้มนุษย์อีกสองคนทำดีเหลือเกินกับคนแปลกหน้าอย่างฉัน

“…เจ็บตรงไหนอีกบ้าง ปวดหัวดีขึ้นมั้ย”

น้ำเสียงฟังอาทร

“ดีขึ้นแล้ว…ค่ะ” ฉันรีบตอบ ไม่อยากให้ต้องซักถามอีกมากไป “…ฉันขอโทษด้วยนะ ที่มาทำให้เดือดร้อน…”

“ไม่เป็นไร้” คนที่ระรินเรียก “อามิน” สวนคำตอบมา “หายดีค่อยทำงานใช้หนี้ก็แล้วกัน…หรือจะกลับบ้านล่ะ”

ฉันได้แต่หลบตา หลายวันผ่าน แม้บาดแผลจะค่อยๆ ดีขึ้น รอยบวมช้ำบางส่วนยุบลง แต่จิตใจฉันยังคงหดหู่ตกต่ำ มันเกินคำว่าเจ็บ จนไม่อาจจะอธิบาย

ที่สำคัญ…ฉันยังเฝ้าคิดถึงแต่นางฟ้าของฉัน แต่ครั้นเอ่ยถาม ทุกคนก็บอกเพียงว่า “หนูรินกลับกรุงเทพฯ ไปแล้ว ไม่ต้องห่วงเขาหรอก”

จะไม่ห่วงได้ยังไง มันอาจเป็นเพราะฉันก็ได้ที่พาเรื่องเลวร้ายติดตัวเข้าไปที่นั่น เสียงนั้นยังกังวานอยู่ในหูอยู่เลย…เหมือนดังอยู่ตลอดเวลา

เสียงร้องไห้ของเธอ

เสียงที่กระทบกระแทกตัวฉัน

“อ้าว ขี้แยอีกแล้ว” อามินทักขึ้น “อะไรกัน ร้องไห้อยู่ทุกวันไม่เบื่อหรือยังไง”

ฉันรู้ดีว่า พวกเขาพยายามจะทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น ขนาดมีเรื่องตลกขบขันมาเล่าให้ฟังทุกวัน เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ฉันก็ไม่อาจมีแม้แต่รอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะใด เราจะหยุดร้องไห้ได้ยังไง ในเมื่อข้างในมันยิ่งกว่าคำว่าแตกสลาย…

เราจะหยุดร้องไห้ได้ยังไง เมื่อเราอยากตายก็ไม่อาจจะตายได้ แต่ถ้าจะอยู่…ก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร