คนโดนสิงห์ : ทางใคร ทางมัน

คอลัมน์ Technical Time-Out

คนเราย่อมมีวิถีทางของตัวเอง

ไม่ต่างจากวงการฟุตบอล โดยเฉพาะถ้าเป็นบรรดาโค้ชอีโก้จัด ก็ยิ่งแล้วใหญ่

และดูคำตอบได้จากหนึ่งในศึกใหญ่โลกลูกหนังอย่าง” “แดงเดือด” ครั้งที่ 200 ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะ” “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” และ “โจเซ่ มูรินโญ่” เหนือ “เจอร์เก้น คล็อปป์” กับ” “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล”

แม้มูรินโญ่ที่ไม่เผาผีกับทั้งทีม และแฟนบอลลิเวอร์พูล จะทำให้เกมแดงเดือด 3 นัดก่อนหน้านี้ กลายเป็นเกมแดง” “เหือด” เหมือนที่หลายฝ่ายแซวกัน

เหตุเพราะกลัวเสียหน้าแพ้ลิเวอร์พูลที่เกมรุกจัดจ้าน จนต้องสั่งให้ลูกน้องย้อนเกล็ดทีมหงส์แดง กับการไล่เพรสซิ่งตั้งแต่แผงห้องเครื่องคู่แข่ง ส่วนแนวรับตัวเองก็ถอยต่ำ ถ้าไม่โดนยิงก่อน หรือได้ลูกเซ็ตพีซไม่มีวันเห็นคู่เซ็นเตอร์ และ 2 ฟูลแบ๊กแมนฯ ยูไนเต็ด ดันเกินครึ่งสนามแน่

แต่เที่ยวนี้คล้ายไฟต์บังคับ เนื่องจากถูกกดดันก่อนเกมเกี่ยวกับแท็กติก” “จอดรถบัส” ชนิดกองเชียร์ตัวเองจำนวนไม่น้อยยังร้อง” “ยี้”

ประกอบกับความล่อแหลมในการเสียตำแหน่งรองจ่าฝูง ด้วยคะแนนที่ห่างจากลิเวอร์พูลแค่ 2 แต้ม ทำให้ทุกคนเชื่อว่า เจ้าของฉายา” “เดอะ สเปเชียล วัน” จะต้องกล้ำกลืนฝืนใจเปิดเกมรุกเข้าใส่ผู้มาเยือน

ทว่านอกจากมูรินโญ่จะไม่ทำแบบนั้นเต็มตัวแล้ว

กุนซือวัย 55 ปี ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ กลับใช้แฟนบอลเร้ด อาร์มี่ กว่า 70,000 คน ในโอลด์แทรฟฟอร์ด เป็นโล่กำบังการจอดรถบัสกลายๆ แต่ก็เปิดเกมรุกส่วนใหญ่ด้วยลูกโยนยาวจาก “ดาบิด เด เคอา” โดยมีเป้าหมายเป็นยักษ์ปักหลั่น “โรเมลู ลูกากู” ซึ่งขึ้นโหม่งชง หรือเก็บบอลชนะ 2 ปราการหลังตัวกลางทีมหงส์แดงแทบทุกครั้ง

2 ในนั้น เกิดขึ้นในจังหวะชนะ เดยัน ลอฟเรน และเป็นที่มาของการยิงเข้ากรอบ 2 ครั้ง แล้วเป็น 2 ประตูฝั่งเจ้าถิ่นจากมาร์คัส แรชฟอร์ด

 

ทันทีที่แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายขึ้นนำคู่แค้นตลอดกาลลิเวอร์พูล กองเชียร์ปีศาจแดงตกอยู่ในวังวนกับการถูก” “สะกดจิตหมู่” ให้ลืมเรื่องรถบัสอันน่าอดสูไปซะ เพราะทีมกำลังจะชนะศัตรูคู่อาฆาตอยู่ตรงหน้า

ส่วนคล็อปป์เองอาจมีอายุน้อยกว่ามูรินโญ่เพียงไม่กี่ปี ทว่าหากนับวุฒิภาวะในการเป็นกุนซือทีมฟุตบอล ต้องเรียกว่า “คนละชั้น” กับอีกฝ่าย ต่อให้คล็อปป์มีสถิติคุมทีมเจอมูรินโญ่ดีเด่แค่ไหน แต่การเคยคุมเพียง “ไมนซ์, โบรุสเซีย ดอร์ตมุนด์” และ “ลิเวอร์พูล” โดย 2 ทีมหลังจัดเข้าข่ายทีมดัง เทียบอะไรไม่ได้เลยกับการเป็นโค้ชให้ “รีล มาดริด, เชลซี, อินเตอร์ มิลาน, เอฟซี ปอร์โต้, แมนฯ ยูไนเต็ด” ของมูรินโญ่ หรือแม้แต่ตอนไต่เต้าอาชีพนี้ ก็ยังมีโปรไฟล์เป็นถึงผู้ช่วยที่ “บาร์เซโลนา”

จึงไม่แปลกที่คล็อปป์จะตัดสินใจผิดพลาด ด้วยการวางหมากแบบเดิมๆ ใส่ปีศาจแดงในเกมสุดสำคัญอย่างนี้

ผิดกับ 3 นัดก่อนที่เทรนเนอร์ชาวเยอรมัน ยังมีระแวงแผนของโค้ชชาวโปรตุเกสจอมแสบรายนี้อยู่บ้าง เมื่อไม่กล้าเปิดหน้าแลกแบบผลีผลาม จนเกือบบุกชนะในเกมลีกฤดูกาลก่อนจากจุดโทษขึ้นนำ 1-0 ของ “เจมส์ มิลเนอร์” ก่อนโดน “ซลาตัน อิบราโมวิช” โขกตีเสมอ 1-1 ช่วง 6 นาทีสุดท้าย

คล็อปป์อาจคิดว่า ตัวเองก็มีวิถีคุมทีมสไตล์บ้านๆ ไม่มีแท็กติกแยบยลหรือลูกตุกติก มีแต่ตบเกียร์เดินหน้าลุยใส่ลูกเดียว

แต่หารู้ไม่ว่า การเป็นกุนซือลูกหนัง ไม่ควรทิ้งคำว่า” “รู้เขา รู้เรา” หรือต้องมีทั้ง” “ลูกบู๊ ลูกบุ๋น” ไม่อย่างนั้น มีสิทธิเสียท่าในเกมชี้ชะตาเอาได้

และความพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้ลิเวอร์พูลร่วงมาอยู่อันดับ 4 ของตารางคะแนน ถูก “ไก่เดือยทอง” ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่เตะ 30 นัดเท่ากัน และมี 61 คะแนนแซงหน้าไป 1 แต้ม

 

ขณะที่แมนฯ ยูไนเต็ด หนีไปพร้อมกอดตำแหน่งรองจ่าฝูงไว้อย่างเหนียวแน่น ด้วยการมี 65 คะแนน ซึ่งทีมหงส์แดงส่อแวว” “ซวย” กรณีจบศึกพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้กับอันดับ 4 ทว่าจะแห้วตั๋วไปเล่นถ้วยยุโรปใบใหญ่ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาลหน้า ถ้าทีมอันดับ 5″ “สิงห์บลู” เชลซี” และอันดับ 6″ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอล” เกิดปิดฉากเกมลีกไม่ติด 4 อันดับแรก แต่ทะลึ่งได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และแชมป์ยูโรป้าลีก ซีซั่นนี้

เนื่องจากสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เจ้าของการแข่งขันตั้งกฎว่า แต่ละประเทศจะมีตัวแทนเล่นรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เต็มแม็กซ์ 5 ทีมต่อฤดูกาล หรือแม้แต่ต่อให้เชลซีไปไม่ถึงแชมป์ยุโรปสมัย 2 ทว่ามีแต้มตามลิเวอร์พูลในลีกแค่ 4 คะแนน การแย่งอันดับ 4 จึงเกิดขึ้นได้เสมอ

อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ต้น คนเราย่อมมีวิถีทางของตัวเอง

ดังนั้น มูรินโญ่เลือกแล้วที่จะเดินแบบนี้ และแมนฯ ยูไนเต็ด ก็ตกรอบน็อกเอาต์รอบแรก 16 ทีมสุดท้ายยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในไม่กี่วันให้หลังทันที เช่นเดียวกับคล็อปป์ซึ่งเลือกทางเดินเอาไว้แล้ว

โดยมีบทลงเอยจากผลลัพธ์รอทั้งคู่อยู่ข้างหน้า