จดหมาย/ฉบับประจำวันที่ 16-22 กุมภาพันธ์ 2561

จดหมาย

0 “อ” – “ก” และ “ล”

บ.ก.มติชน ที่รัก
สวนดอกไม้ หน้า 101 (กวีนิพนธ์แห่งความเดียวดายแต่ไม่ว่างเปล่า ของ ภักดิ์ รตนผล)
ข้าพเจ้าเดินชมสวนดอกไม้
ในเรือกสวน “ท้องร่วง” ลำคลองอันอุดม
ให้ได้ยิ้มอยู่ และ
คิดไปว่า ผู้ประพันธ์คงได้รับเชื้อไวรัสอะไรบางอย่างในเรือกสวนนั้น
จึ่งเกิดอาการท้องร่วงได้
(ขณะที่อ่านอยู่นี้กำลังทานอาหารเช้าอยู่อีกต่างหาก)
“นิ้วกาง”

ขอบคุณเสียแต่เบื้องต้น
ที่กรุณาทำให้ “ล” ตกไปจาก “นิ้วกาง”
เพราะหากไม่ตกหล่น
บ.ก. คงแบก “กล้วย” จากเรือกสวน กันหลังแอ่น (ฮา)
ว่าที่จริง
“เรือกสวน” ที่นิ้วกางเขียนในอีเมล แล้วตก “ก” เป็น “เรือสวน” นั้น
ถือเป็นความผิดพลาดทางเทคนิค ที่รับได้
เพราะความหมายไม่เปลี่ยนนัก
แต่พอ “ท้องร่อง” กลายเป็น “ท้องร่วง” นี่สิ
แก้ตัวไม่ออก
ต้องขออภัยอย่างสูงสถานเดียว
…อยากจะเลี้ยงอาหารเช้าคืนสักมื้อ
และเพื่อเป็นการขออภัยต่อ ภักดิ์ รตนผล ผู้เขียน
ขอช่วยโปรโมตหนังสือ “พันแสงรุ้ง”
ถ้อยคำอำพันจากภูเขา ทะเล และท้องฟ้า
ที่วางแผงจำหน่ายแล้วตอนนี้ ผู้ใดสนใจเชิญ
ป.ล. อำพัน นะจ๊ะ มิใช่ รำพัน
จาก
“นิ้วก้อย” (คืนดีกันน้า) (ฮา)

0 “ท” – “น” และ “ย”

หลังรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 โดยจอมพลผิน ชุณหะวัณ (บิดาพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ถูกพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ทำรัฐประหาร 24 กุมภาพันธ์ 2534) เป็นต้นมา
เกิดวิวาทะระหว่างคนที่มีความคิดสมัยใหม่
ยึดหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก
ถือว่าเป็นระบบสากลนิยม
กับคนที่มีความคิดสมัยเก่า อนุรักษนิยม ในจารีตของโครงสร้างทางสังคมหลัก
คือก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
ปรากฏว่า คนที่มีความคิดสมัยเก่า มักยกเหตุผลและตรรกะต่างๆ จนคนที่มีความคิดสมัยใหม่ยอมจำนน
และประดิษฐ์วาทกรรมว่า “วัฒนธรรมไทยต่างกับวัฒนธรรมชาติอื่นๆ ฉะนั้น ประเทศไทยต้องปกครองตามระบอบประชาธิปไตยแบบไทยไทย”
โดยฝ่ายชาตินิยมชนิดล้าหลังคลั่งชาติที่ทำไร้เดียงสาแต่เจ้าเล่ห์ บอกว่า เป็นตัวของตัวเองดี
ก็หยวนกันมาถึงวันนี้
ต่อมาคำว่า “แบบไทยไทย” คลายมนต์ขลังลง
ที่สุดก็เปลี่ยนวาทกรรมใหม่ว่า “แบบไทยนิยม”
ปลุกระดมมวลชนให้ฮิตติดปากในหมู่ผู้รากมากดี ที่สถาปนาตนเองขึ้นมาเอง
ให้ใช้วาทกรรม “แบบไทยนิยม”
ดังพฤติกรรมในบทกวีชื่อ “จากแบบไทยไทยถึงแบบไทยนิยม” ต่อไปนี้

ในสภามีนักวิ่งกลอกกลิ้งแยะ
ในเรือแป๊ะมีจิ้งจอกกลอกตาอยู่
ล้วนโง่ด้านผลาญเงินชาติขาดความรู้
น่าอดสูยิ่งนักไร้หลักการ

มีนัยยะตะแบงแกล้งทำโง่
แต่หางโผล่ให้เป็นแก่นสาร
เที่ยวแลบลิ้นปลิ้นตาพญามาร
ตามวิสัยอันธพาลกินบ้านเมือง

คุณภาพชีวิตจากพวกลากตั้ง
ใช้พลังส่วนตัววางตัวเขื่อง
อุปถัมภ์ค้ำจุนกันมั่นเนืองเนือง
สมประโยชน์ต่อเนื่องเลื่องลือไกล

ประชาชนเล็งเห็นเป็นจุดบอด
ยังพร่ำพลอดตนดีศรีสมัย
จุดไฟแล้วดับไฟนั้นลงทันใด
แท้คือเหลือบฝูงใหม่กายโสมม

สร้างวาทกรรม “แบบไทยไทย” พูดให้ขลัง
แฝงเบื้องหลังดูดีที่เหมาะสม
พอรู้ทันผันไป “ไทยนิยม”
จนสังคมจมปลักขั้นดักดาน

เห็นคนไทยเป็นทาสปราศจากคิด
ประกาศิตอย่างไรได้ทุกด้าน
เหมือนจำหลักสักหน้าผากหลากกบาล
เผด็จการประชาธิปไตย
สมบัติ ตั้งก่อเกียรติ

พอพูดว่า เป็นไทย-ไทย
มักจะคิด “ถอยหลัง” หรือ “ย้อนยุค” ทุกทีไป
ทำไมก็ไม่รู้
ทำให้ “ไมตรี รัตนา”
คิดไปไกลถึง ตะแบง “มาร” เอาเลยทีเดียว!!