เผยแพร่ |
---|
ความรุนแรง แข็งกร้าว ในทางการเมืองจะทวีความแหลมคมมากยิ่งขึ้นในปี 2561
จากปัจจัย 2 ปัจจัย
ปัจจัย 1 มาจากฝ่ายที่ต้องการการเลือกตั้ง ปัจจัย 1 มาจากฝ่ายที่ไม่ต้องการการเลือกตั้ง
ฝ่ายแรกจะดำเนินไปในเชิง “เร่งเร้า”
ฝ่ายหลังจะดำเนินไปในลักษณะเตะถ่วง รั้งดึง ยื้อยุดอย่างเต็มความสามารถ
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้คู่ความขัดแย้งแปรเปลี่ยน
การเล่นงานกันระหว่างพรรคการเมือง โดยเฉพาะระหว่าง 2 พรรคใหญ่เริ่มลดลง
เพราะแจ่มชัดว่า “ปรปักษ์” เฉพาะหน้าเป็นใคร
หากดูจากหัวขบวน ไม่ว่าจะจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะจากพรรคเพื่อไทย
น้ำร้อนที่เคยสาดเข้าหากันเริ่มลดลง
น้ำหนักไปยังกรณีของคสช. กรณีของรัฐบาล มากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
โดยเฉพาะนับแต่คำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 53 ออกมา
บรรดา “มันสมอง”ก้อนโตในแต่ละพรรคการเมืองล้วนวิเคราะห์ได้ทะลุปรุโปร่งว่า เป้าหมายในการทำลายล้าง คือ พรรคการเมือง
เน้นอย่างหนักแน่นว่าเป็นพรรคการเมืองเก่า
เรื่องที่เคยสร้างบาดแผลให้กันก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ก่อนเดือนพฤษภาคม 2557 จึงพักไว้ชั่วคราว
ทุกอาวุธล้วนกระหน่ำไปยัง “คสช.”
ความจริงได้เคยมีการหยิบยกประเด็นว่าด้วย”คู่ความขัดแย้ง”มาถกแถลงตั้งแต่มีการเสนอเรื่องปรองดองเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 มาแล้ว
ว่า คสช.คือ คู่ความขัดแย้งสำคัญ
แม้คสช.และรัฐบาลจะพยายามวางตนอยู่”เหนือ”ความขัดแย้ง แต่ยิ่งโรดแมปการเลือกตั้งย่างสามขุมเข้ามา ยิ่งทำให้สังคมเห็นอย่างเด่นชัด
เมื่อเกิดปัจจัยที่ “ยื้อ” การเลือกตั้งหนาแน่นยิ่งขึ้น เมื่อเกิดปัจจัยที่ “ไม่อยาก” ให้มี “เลือกตั้ง” หนาแน่นยิ่งขึ้น
ใครเป็นฝ่าย “ไม่อยาก” ให้มี “เลือกตั้ง” เริ่มปรากฏตัว