คอรี หว่อง มือกีตาร์ผู้ค้นพบ ‘เสียง’ ของตัวเอง

บทความพิเศษ ศรัณยู ตรีสุคนธ์

 

คอรี หว่อง

มือกีตาร์ผู้ค้นพบ ‘เสียง’ ของตัวเอง

 

ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา อยู่ๆ ชื่อของ คอรี หว่อง (Cory Wong) ก็ได้รับการกล่าวขานถึงอย่างแพร่หลายด้วยทักษะการเล่นกีตาร์ที่ยืนพื้นด้วยแนวฟังก์เป็นหลัก

แต่ถ้าหากมองถึงภาพรวมแล้วละก็ ดนตรีที่คอรี หว่อง และวงดนตรีของเขาเล่นมีการผสมผสานกล่นอายของดนตรีหลากหลายแนวเข้าไว้ด้วยกันไม่ว่าจะเป็นแจ๊ซ ทั้งในสไตล์ สะวิง, บิ๊กแบนด์ ไปจนถึงคูล แจ๊ซ รวมถึงดนตรีอาร์แอนด์บี, โซล, ละติน และป๊อป/ร็อก งานเพลงของคอรี หว่อง เป็นแนว “ฟิวชั่น” อย่างชัดเจน

ซึ่งทั้งหมดนี้หลอมรวมเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนด้วย “Rhythm Section” หรือรายละเอียดของจังหวะดนตรีที่สนุกสนานเร้าใจ

คอรี หว่อง เป็นทั้งศิลปิน, นักแต่งเพลง, โปรดิวเซอร์ และนักดนตรีเชื้อสายจีน/อเมริกันที่เล่นได้ทั้งกีตาร์และเบส

แต่ที่โดดเด่นที่สุดก็คือทักษะการเล่นกีตาร์ของเขาเองที่นักวิจารณ์ดนตรีมองว่าได้รับอิทธิพลมาจาก Prince ตำนานศิลปินฟังก์ผู้ล่วงลับและนำดนตรีโอลด์สคูลฟังก์จากยุค 60 ไปจนถึงยุค 80 มาประยุกต์ดัดแปลงให้มีเอกลักษณ์และเต็มไปด้วยความซับซ้อนในด้านเทคนิคการเล่นมากขึ้นด้วยการนำดนตรีฟิวชั่นแจ๊ซที่มีทั้งกลิ่นอายของดนตรี บีบ๊อบ (แขนงหนึ่งของดนตรีแจ๊ซที่ซับซ้อนด้วยโครงสร้างคอร์ด, ฮาร์โมนี และการเล่นที่รวดเร็ว), บลูแกลส, แซมบ้า, ไปจนถึงโฟล์ก, กอสเพล และคันทรี่ มาคลุกเคล้าเข้าไว้ด้วยกัน

ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นดนตรียุคเก่า (Old-Time) ที่คอรี หว่อง นำมาเล่นในแบบฉบับของตัวเอง

กล่าวคือ คอรีหยิบยืมดนตรีเหล่านี้มาเล่นเพราะความชอบส่วนตัวจากการเป็นนักฟังเพลงตัวกลั่นของเขาเอง

ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เมื่อฟังเพลงของเขาแล้วจะทำให้นึกถึงสไตล์การเล่นของมือกีตาร์ฝีมือระดับพระกาฬหลายคนอย่าง จอห์น ฟลูชานเต แห่งวง Red Hot Chili Peppers, แพท เมธินี (มือกีตาร์แนวฟิวชั่นแจ๊ซระดับตำนาน), ดนตรี เวสต์ โคสต์ แจ๊ซ ในแบบเดฟ บรูเบค, จิมมี่ โนเลน มือกีตาร์ประจำวงของเจมส์ บราวน์ ไปจนถึงลูกโซโล่สไตล์ร็อกแอนด์โรลและกีตาร์ฮีโร่ในแบบของเอ็ดดี แวน ฮาเลน และสตีฟ วาย

คอรี หว่อง เป็นทั้งนักฟังเพลงและนักดนตรี เขาเคยศึกษาที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐมินนิโซตา สหรัฐ และ McNally Smith College of Music แต่ตัดสินใจหันหลังให้กับสถาบันการศึกษาเพื่อเดินตามความฝันในการเป็นนักดตรีอาชีพ

โดยอันเดรส พราโด มือกีตาร์แจ๊ซชาวเปรู และไมเคิล แบลนด์ มือกลองที่เล่นแบ๊กอัพให้กับ Prince ต่างก็มีอิทธิพลในการเล่นดนตรีและการแสดงสดต่อเขาเป็นอย่างมาก

ซึ่งก็รวมถึง เดฟ วิลเลียมส์ มือกีตาร์ที่เคยเล่นให้กับไมเคิล แจ๊กสัน และมาดอนน่า รวมถึงพอล แจ๊กสัน จูเนียร์ มือกีตาร์แนวฟังก์/แจ๊ซยอดฝีมือที่อัดเสียงกีตาร์ในอัลบั้ม Random Access Memories งานเพลงชุดสุดท้ายของหนึ่งในวงดนตรีที่มีอิทธิพลสูงที่สุดของวงการดนตรีเต้นรำร่วมสมัยอย่าง Daft Punk ด้วย

ถ้าเปรียบดนตรีเป็นผู้หญิง ความรักที่คอรี หว่อง มีให้กับดนตรีคือรักจริงหวังแต่ง เขาอุทิศตนให้กับว่าที่เจ้าสาวในอนาคตนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก

คอรีมักจะนำกีตาร์และแอมป์ตัวเล็กๆ ไปโรงเรียนเพื่อเล่นดนตรีกับเพื่อนๆ และฟังทุกๆ เพลงอย่างตั้งใจเท่าที่ MTV จะเปิดให้ดู

คอรีเล่นดนตรีทุกวันจนกระทั่งในช่วงราวๆ ปี 2008 เขาก็มีฝีมือมากพอที่จะได้เล่นในแจ๊ซ คลับทุกแห่งในเมืองมินนีแอโพลิส-เซนต์ พอล

หลังจากนั้นเขาก็ได้อัดเสียงกีตาร์และทำเพลงร่วมกับเพื่อนศิลปินแจ๊ซในอัลบั้ม 2 ชุดคือ Even Uneven (2008) และ Quarter/Quintet (2012)

จนในปี 2013 ก็ได้มีโอกาสร่วมทำเพลงกับ Dr. Mambo’s Combo ซึ่งเป็นวงดนตรีที่มีซอนนี ที และไมเคิล แบลนด์ มือเบสและมือกลองที่เล่นให้กับวงของ Prince เป็นสมาชิกวง

โดยคอรีเรียกช่วงเวลานี้ว่าเป็นการฝึกทักษะการแสดงสดที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของดนตรีฟังก์และโซล ซึ่งฝังลึกอยู่ในลายเซ็นการเล่นกีตาร์ของเขามาจนถึงทุกวันนี้

 

คอรี หว่อง ทั้งร่วมทัวร์และทำเพลงให้กับทุกอัลบั้มของ Vulfpeck วงฟังก์จากรัฐมิชิแกน จนถึงขนาดที่ว่าทางวงเขียนเพลงที่มีชื่อว่า “Cory Wong” ขึ้นมาเพื่อเป็นเกียรติให้กับเขาโดยเฉพาะ

ส่วนตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกวง The Fearless Flyers ด้วย คอรีใช้เวลานานถึง 9 ปีในการเป็นบ่มเพาะทักษะทางดนตรีในฐานะศิลปินรับจ้างและมือกีตาร์รับเชิญกว่าที่เขาจะมีอัลบั้มเดี่ยวที่ชื่อ Cory Wong and the Green Screen Band ที่หลายเพลงเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดนตรีฟังก์, โซล และกอสเพล ที่ได้รับอิทธิพลมาจากค่ายเพลงโมทาวน์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสตีวี วันเดอร์)

แต่งานเพลงที่ถือว่าเป็นการปักหมุดชื่อของเขาในวงการเพลงอย่างจริงจังก็คือ The Optimist ที่คอรีเริ่มฉายแววโชว์ทักษะการเล่นกีตาร์ในแบบฉบับของตัวเองให้โลกได้ประจักษ์

คอรี หว่อง มีงานเพลงทั้งในรูปแบบซิงเกิล, อีพี, โซโล่ อัลบั้ม และการไปแจมกับศิลปินแนวฟังก์และแจ๊ซเป็นจำนวนมาก

ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกทางนิตยสาร Jazziz ตั้งคำถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ได้เล่นกีตาร์กับแลร์รี คาร์ลตัน มือกีตาร์แนวฟิวชั่น/แจ๊ซที่เขาชื่นชมมาตั้งแต่เด็กในเพลง Here To Stay

คำตอบที่เขามีต่อคำถามนี้นับว่าน่าสนใจทีเดียว

“แรกๆ ผมรู้สึกตื่นเต้นและกังวลเพราะแลร์รีเป็นฮีโร่ของผมมาโดยตลอด แต่พอได้มาเล่นด้วยกันจริงๆ แล้วความกังวลก็หายไป เพราะสิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือการค้นพบเสียงของตัวเองซึ่งมีแต่ตัวผมเองเท่านั้นที่จะทำได้ เสียงในที่นี้ก็คือความเป็นตัวของตัวเองซึ่งมีอยู่ในทุกโน้ตที่ผมส่งมันออกมาผ่านการเล่นกีตาร์ มันไม่สำคัญเลยว่าใครจะเก่งกว่าใคร คุณบอกได้เหรอว่าถ้าหากบ็อบ ดีแลน มาร้องเพลงคู่กับพอล แม็กคาร์ตนีย์ แล้วเสียงของใครจะดีกว่ากัน มันบอกไม่ได้แน่นอน เพราะต่างคนต่างก็มีเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่แล้ว พอคิดได้อย่างนี้แล้วผมบอกกับตัวเองได้เลยร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผมสามารถเล่นกีตาร์คู่กับมือกีตาร์คนไหนก็ได้ในโลกนี้ เพราะผมมีเสียงเป็นของตัวเองอยู่แล้ว”

 

ในตอนนี้ คอรี หว่อง ได้รับการยอมรับในฐานะมือกีตาร์แนวฟังก์ หรือว่าจะเป็นสาย Overall ที่ผสมผสานแนวดนตรีที่หลากหลายให้กลายเป็นลายเซ็นของตัวเองได้อย่างชัดเจน

เพลงของเขาได้เข้าชิงแกรมมี่ อวอร์ดส์ ซึ่งเป็นรางวัลทางดนตรีที่ได้รับการยอมรับสูงสุดในโลก

คอนเสิร์ตของเขาได้รับเสียงชื่นชมอย่างสูงทั้งในเรื่องของการเป็นเอนเตอร์เทนเนอร์และทักษะการเล่นกีตาร์ที่เหนือชั้น

นอกจากนี้ คอรีก็ยังมี Cory and the Wongnotes ซึ่งเป็นวาไรตี้โชว์ที่มีทั้งการเชิญศิลปินชื่อดังมาเล่นดนตรีด้วยกัน

ความเก่งกาจของคอรี ทำให้ทาง Fender แบรนด์กีตาร์ระดับโลกผลิตกีตาร์รุ่นพิเศษอย่าง The Cory Wong Signature Fender Stratocaster ออกมาจำหน่ายไปทั่วโลกด้วย

Power Station อัลบั้มชุดล่าสุดของคอรี หว่อง ที่วางจำหน่ายไปเมื่อปีที่แล้วเป็นงานเพลงฟังก์, โซล, ดิสโก้, ฟิวชั่น แจ๊ซ และป๊อป/ร็อก ที่คุณภาพของงานเพลงอยู่ในระดับดีมากทั้งชุด

ส่วนเดือนมกราคมปีนี้ คอรีได้ปล่อยอัลบั้มบันทึกการแสดงสดสนับสนุนอัลบั้มชุดใหม่ที่ชื่อ The Power Station Tour (West Coast) ออกมา โดยคุณภาพในการบันทึกเสียง, ความสนุกสนานจากการเสียงร้องของเซียร์รา ฮัลล์ และร็อบบี วูล์ฟซอห์น และการเอนเตอร์เทนแฟนๆ ด้วยเสียงกีตาร์และเครื่องดนตรีทุกชิ้น เรียกได้ว่า “เอาอยู่” ตั้งแต่แทร็กแรกจนถึงแทร็กสุดท้าย

คอรี หว่อง จะเดินทางมาเปิดคอนเสิร์ตครั้งแรกในประเทศไทยที่ Moonstar Studio ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ โดยผู้จัดก็คือ VIJI CORP โปรโมเตอร์ที่เคยนำศิลปินทั้งในสายแมสและอินดี้มาให้แฟนเพลงชาวไทยได้ดูกันมากมายตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

โอกาสที่จะได้ดูฝีมือการเล่นกีตาร์ระดับฟ้าประทานของชายวัย 38 ปีคนนี้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว

ไม่อยากให้พลาดชมกันเลยจริงๆ