จินตนาการไม่ยาก จะเกิดอะไรขึ้น… หาก ส.ว.ยังเฉยชา ทำตัวกำแพงขวางกั้นสายลม

รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต  ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เผยแพร่บทความแสดงความเห็นทางการเมือง

“สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังกลายเป็นพายุแห่งการเปลี่ยนแปลง” เขียนไว้เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ในผู้จัดการออนไลน์ หยิบมาตอนหนึ่ง

“มีความเป็นไปได้ว่าพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงจะกวาดล้าง “การเมืองแบบบ้านใหญ่” ให้กลายเป็น “การเมืองแบบบ้านแตก” ซึ่งทำให้นักการเมืองที่อาศัยอิทธิพล เครือข่ายหัวคะแนนแบบเดิม และการซื้อขายเสียงจะต้องประสบความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง

อาจทำให้ “การเมืองแบบดีแต่พูด” ไม่รักษาสัญญาประชาคมต้องจมหายไปในกระแสธารของประวัติศาสตร์ พรรคการเมืองเก่าแก่บางพรรคต้องหันมาทบทวนตนเองอย่างจริงจัง ก่อนที่จะถูกพัดพาให้หายไปจากสังคมไทย

อาจทำให้ “การเมืองแบบสืบทอดอำนาจรัฐประหาร” ไม่หลงเหลือร่องรอยให้เห็นในเวทีการเมือง

และอาจทำให้ “การเมืองแบบสืบทอดทายาท” ของพรรคการเมืองที่มีเจ้าของเป็นนายทุนต้องได้รับบทเรียนอย่างเจ็บปวด

และมีความเป็นไปได้สูงว่า พายุแห่งการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิด “การเมืองแบบพลเมือง” อย่างแท้จริง

ประชาชนจะมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการพัฒนาพรรคการเมืองให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงเป็นบทพิสูจน์ว่า สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงจะสามารถพัฒนาเป็นพายุที่ทรงพลังได้หรือไม่

หากทำได้ การเมืองไทยก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ประเทศไทยก็จะมีการเมืองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง

_____

เมื่อการเลือกตั้งเสร็จสิ้น พายุแห่งการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นจริง กวาดล้างการเมืองแบบเก่าหายไปหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ทุกภาค ทั่วประเทศ และเปิดศักราชใหม่ของการเมืองไทยขึ้นมา

วันนนี้ พรรคก้าวไกลกำลังจัดตั้งรัฐบาล ภายใต้การสนับสนุนอย่างล้นหลามและความหวังอย่างเปี่ยมล้นของประชาชน

หาก ส.ส. และ ส.ว. ยังเฉยชา หรือทำตัวเป็นกำแพงขวางกั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา

คงจินตนาการได้ไม่ยากว่า อะไรจะเกิดขึ้นในสังคมไทย

ก่อนหน้านี้  รศ.ดร.พิชาย ยังเขียนข้อความอีกว่า

“คนจำนวนมากมองโลกแบบหยุดนิ่ง ยึดติดประสบการณ์ มักละเลยและมองข้ามการเปลี่ยนแปลง คล้ายกบในหม้อที่ไม่สัมผัสถึงน้ำที่กำลังอุ่นขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ในที่สุดก็ถูกต้มสุกโดยไม่รู้ตัว”

ชี้ 4 สถานการณ์ หากก้าวไกลตั้งรบ.ไม่ได้

ก่อนหน้านี้ รศ.ดร.พิชาย วิเคราะห์ผลในทางการเมือง จากเงื่อนไขการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล โดยมีเนื้อหาดังนี้

การจัดตั้งรัฐบาล

1 พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลได้

เงื่อนไข 1. ต้องมี ส.ว. อย่างน้อย 66 คน ที่มีความคิดอิสระ ปลอดจากการควบคุมของผู้แต่งตั้งตนเอง และยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก

2. ส.ว.เคารพเจตนารมณ์ของประชาชน ยึดหลักการลงมติให้แก่แคนดิเดตของพรรคที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้

มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่พรรคก้าวไกลสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะ

1 พรรคก้าวไกลมีความชอบธรรมสูงที่สุดตามระบอบประชาธิปไตย
2 กระแสสังคมแรง ประชาชนจำนวนมากมีความคาดหวังสูงและพร้อมสนับสนุน
3 การเปลี่ยนแปลงสังคมทำให้ความคิดของ ส.ว.จำนวนมากเปลี่ยนแปลง
4 นายพิธา มีความโดดเด่น ได้รับการสนับสนุนมากที่สุดจากประชาชนเมื่อเทียบกับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ ทั้งหมด รวมทั้งได้รับการยอมรับจากนานาชาติ

ผลลัพธ์ : การเมืองประเทศไทยมีเสถียรภาพ ประชาธิปไตยพัฒนา เศรษฐกิจเดินหน้า นานาชาติยอมรับ ประเทศมีเกียรติภูมิในสากลสูง

2 พรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้

เงื่อนไข 1 ส.ว. เกือบทั้งหมดยังตกอยู่ภายใต้การครอบงำบงการของผู้แต่งตั้งตนเอง ปฏิบัติตามคำสั่ง สกัดกั้นไม่ให้ลงมติตามเจตนารมณ์ของประชาชน

ผลลัพธ์ : การเมืองไร้เสถียรภาพ บ้านเมืองเกิดความขัดแย้ง แตกแยกอย่างรุนแรง เศรษฐกิจตกต่ำ นานาชาติรังเกียจ และพัฒนาไปสู่สี่สถานการณ์ คือ

ประการแรก เลือกนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีไปเรื่อย ๆ จนกว่า ส.ว. ชุดนี้จะหมดอายุในเดือนพฤษภาคม 2567

ประการที่สอง เปลี่ยนเอาพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ให้ น.ส.แพทองธาร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่า ส.ว. จะโหวตให้แต่อย่างใด อีกทั้งพรรคเพื่อไทยก็ไม่สามารถนำพรรคพลังประชารัฐและภูมิใจไทยมาร่วมรัฐบาลได้ เพราะมวลชนเสื้อแดงจะต่อต้านอย่างรุนแรง

ประการที่สาม เกิดการรัฐประหาร เผด็จการทหารเข้ามาควบคุมการเมือง ประเทศตกต่ำถดถอยลงไปสู่ระดับเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่สถานการณ์ที่สี่

ประการที่สี่ เกิดการปฏิวัติประชาชน และทำให้ชนชั้นนำและกลุ่มนายพลสิ้นอำนาจอย่างสิ้นเชิง