แลนด์สไลด์…ของเพื่อไทย กระตุ้นเศรษฐกิจ…ใส่ปุ๋ยที่โคนต้น แลนด์สไลด์บนเส้นทางลูกรัง… มีแต่ก้อนหิน ไม่มีพรมแดง

มุกดา สุวรรณชาติ

แม้การขึ้นเวทีโชว์ตัวของผู้นำพรรคต่างๆ จะสามารถจัดได้อย่างใหญ่โตและอลังการ มีเส้นทางเดินซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นซีเมนต์ หญ้าเทียม หรือปูพรมแดงมีบันไดก้าวขึ้น มีเครนยกขึ้นสู่เวที

แต่ในการต่อสู้ช่วงชิงเพื่อให้ได้ ส.ส.ตามเป้าหมายยากลำบากอย่างเหลือแสน

เพราะนี่เป็นการต่อสู้ทั้งเพื่อชิงอำนาจรัฐสำหรับบางพรรค และบางพรรคก็ต้องการเพื่อความอยู่รอด ไม่ว่าจะเดินขึ้นไปหรือคลานไปจะไม่มีใครถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ความสำเร็จต้องวัดว่าจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ของเป้าหมายที่พรรคต่างๆ ตั้งเป้าหมายไว้

วิเคราะห์จากสภาพการเมืองปัจจุบันมีความเป็นไปได้ที่บางพรรคอาจจะได้ประมาณ 70- 80% ของเป้าหมาย เช่น พรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย

ส่วนพรรคอื่นๆ ดูแล้วน่าจะได้ประมาณครึ่งหนึ่งของเป้าหมายเท่านั้น

เป้าหมาย 310 เสียงจึงเป็นตัวเลขที่พรรคฝ่ายค้านรวมกัน เฉพาะเพื่อไทยเองมีโอกาสทำได้จริงประมาณ 265 เหตุผลก็คือชัยชนะของ ส.ส.เขตไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ได้เป็นไปตามกระแสทั้งหมด เพื่อไทยรู้อยู่แล้วและเตรียมนโยบายดีไว้เป็นอาวุธเพื่อทำตัวเลข ส.ส.ให้สูงกว่าอดีต

…ต้องลองย้อนดูการเลือกตั้งในอดีต

 

การคาดคะเนคะแนน
โดยดูพื้นฐานจากการเลือกตั้งครั้งก่อนๆ

การเลือกตั้งปี 2544 พรรคไทยรักไทยตั้งพรรคการเมืองครั้งแรกชนะ ส.ส.เขต 200 เขตจาก 400 เขต และได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 48 คน

หลังรัฐประหาร 2549 มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นฉบับ 2550 พรรคไทยรักไทยถูกยุบ เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคพลังประชาชน ยังชนะ ส.ส.เขต 199 เขตจาก 400 เขต และได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 34 คนจาก 80

หลังการปราบปรามประชาชนปี 2553 มีการยุบสภาโดยรัฐบาลประชาธิปัตย์ และเลือกตั้งในปี 2554 พลังประชาชนถูกยุบ เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคเพื่อไทยลงเลือกตั้งชนะ ส.ส.เขต 204 เขตจาก 375 เขต คิดเป็น 54.4 เปอร์เซ็นต์ ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 61 คนจาก 125 คิดเป็น 48.8%

การเลือกตั้งทั้ง 3 ครั้ง แม้จะใช้ชื่อพรรคไม่เหมือนกันเพราะถูกยุบและผู้คุมอำนาจรัฐก็เป็นฝ่ายตรงข้าม แต่เพื่อไทยก็ชนะ ส.ส.เขตอยู่ที่ประมาณ 200 เขต ได้ปาร์ตี้ลิสต์เกิน 40%

ถ้าพรรคเพื่อไทยจะทำคะแนนดีมากกว่าปี 2554 ก็หมายความว่าต้องชนะเขตเลือกตั้งเกินกว่า 217 เขต และได้ปาร์ตี้ลิสต์เกิน 49 คน จึงจะได้ ส.ส.เกิน 266 คน

ทีมงานประเมินจากกระแสการเมืองก็พอจะคาดคะเนได้ว่าพรรคเพื่อไทยน่าจะชนะเขตเลือกตั้งอยู่ประมาณ 210 เขต และจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์น่าจะอยู่ที่ประมาณ 45% เพราะมีพรรคก้าวไกลมาแบ่งคะแนนไป

 

เขตช่วงชิง 160 เขต
ประชาชนเลือกได้

การเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทยมีโอกาสสู้ 300 กว่าเขต แต่โอกาสที่จะชนะแบบไม่ยากมีประมาณ 140-150 เขต และที่ไม่มีโอกาสชนะเพราะเป็นเขตแข็งของคู่ต่อสู้ประมาณ 90 เขต

อีกประมาณ 160 เขตเป็นเขตที่ต้องต่อสู้แย่งชิงอย่างหนัก ถ้าแย่งชิงชนะมาได้ 70-80 เขต ก็จะได้ ส.ส.เขต 215 ถึง 225 เขต และถ้าได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ประมาณ 40 ถึง 45 จะได้ ส.ส.ร่วมกัน 255 ถึง 270

ความยากของ 160 เขต เพราะมีการเคลื่อนกำลังทั้งใต้ดินบนดิน ซึ่งเป็นเส้นสายท้องถิ่นหัวคะแนน มีปัจจัยสนับสนุนหลายด้านตั้งแต่ญาติพี่น้องจนไปถึงกำลังทรัพย์ ต้องต่อสู้กันหลายพรรค โดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นตัวยืนสู้อยู่แทบทุกเขต

รองลงมาก็เป็นพรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ก้าวไกลและประชาธิปัตย์ ใครอาวุธไม่ครบจะถูกเบียดไปอยู่ที่ 3 ที่ 4

ขณะนี้ยังไม่มีตัวเลขแน่ชัดว่าเขตที่แย่งชิงกันที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่เบียดกันอยู่เขตไหนมีใครบ้างคงต้องรออีกประมาณ 15 วันถ้ามีการทำโพลภายในของแต่ละพรรคก็จะพอมองเห็นตัวเลข

ถ้าเพื่อไทยหวังแลนด์สไลด์ ก็ต้องแย่งชิง ส.ส.เขตจากพรรคร่วมรัฐบาลเก่าทั้ง 4 พรรค เพราะจะได้ชัยชนะแบบไป-กลับ คือชิงมาได้ 30 ไม่เพียงจะได้บวก 30 แต่อีกฝ่ายยังลบไปอีก 30

โอกาสไปชิงกับประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งนี้คงมีน้อยเขตมาก

ส่วนเขตที่ต้องชิงกันเองกับก้าวไกลก็ไม่น่าจะมีมากนัก

แต่ไม่ว่าใครได้ ส.ส.เขตไปก็ยังถือเป็นแนวร่วมของพรรคฝ่ายค้าน

ปัญหาในขณะนี้ก็คือทั้งสองฝ่ายเมื่อเปิดศึกตะลุมบอนแล้วก็ต้องมาตัดคะแนนกันเองเป็นการต่อสู้แบบไม่มีทางเลือกมาก

ทั้งเพื่อไทย และก้าวไกล ต่างก็คิดนโยบายทีเด็ดที่จะเรียกคะแนนเสียง

ที่จริงแล้วพรรคต่างๆ ไม่มีทางเลือกแต่ประชาชนมีทางเลือก เพราะประชาชนแต่ละเขตจะเลือกพรรคไหนก็ได้ เลือกอย่างไรก็ได้ ไม่มีความจำเป็นจะต้องให้บัตรทั้ง 2 ใบกาให้พรรคเดียวกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิทธิของผู้ลงคะแนนที่มีความรู้ทางการเมือง ที่จะตัดสินใจว่าทำอย่างไรจึงจะให้แต่ละคะแนนของตนเองได้ประโยชน์คุ้มค่าที่สุด

 

นโยบายเร่งใส่ปุ๋ยที่โคนต้น…
อาจทำให้กระแสแรงขึ้น
หรือเล่นนอกเกมแรงขึ้น

การวิเคราะห์ข้างต้น ไม่รวมปัจจัยการประกาศนโยบายอัดเงินดิจิทัลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประชาชนที่มีอายุเกิน 16 ปีคนละ 10,000 ของเพื่อไทย ซึ่งกำลังวิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง บนเส้นทางแลนด์สไลด์คู่แข่งก็อยากขัดขวาง ดังนั้น ไม่ใช่เพียงแต่เรื่องการแย่งชิงคะแนนเสียง แต่บางพรรคก็จะหาเรื่องเพื่อนำไปยื่นยุบพรรคเพื่อไทย

นโยบายอัดเงินดิจิทัลลงสู่ประชาชน ประเมินกันว่างบประมาณก้อนนี้ต้องมากกว่า 5 แสนล้าน พรรคเพื่อไทยคิดใหญ่มาก งานนี้ไม่ใช่แค่รดน้ำที่ราก แต่อัดทั้งปุ๋ยทั้งน้ำลงไปพรวดเดียวโดยหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ คิดว่าต้องช่วยให้ผ่านวิกฤตในฤดูแล้งให้ได้ และเมื่อฝนมาต้นไม้ก็จะผลิดอกออกผล ถ้าทำสำเร็จก็ดีไป แต่ถ้าพลาดได้ผลไม่เป็นไปตามเป้าหมายก็คงถูกโจมตีหาเรื่องฟ้องร้องต่อไป

คิดว่างานนี้ไม่ทันได้เป็นรัฐบาลก็โดนด่าก่อนแล้ว แต่คาดว่าพรรคเพื่อไทยคงเตรียมรายละเอียดต่างๆ ไว้พร้อมแล้ว ในทางปฏิบัติจริงจะมีข้อบกพร่องอีกร้อยแปดพันประการก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ทีมวิเคราะห์มองว่าประชาชนก็อยากรู้ว่าถ้าทำอย่างนี้แล้วจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ เพราะพวกเขาต้องแบกหนี้ที่รัฐบาลประยุทธ์กู้มา 5 ล้านล้านซึ่งบางคนไม่เคยได้เงินมาโดยตรงแม้แต่บาทเดียว บางคนก็ได้มาไม่กี่ร้อย

แต่วันนี้ทุกครอบครัวต้องแบกหนี้ของรัฐหลายแสนบาท

แต่นโยบายเพื่อไทย ชาวบ้านจะได้มา 10,000 บาทแน่นอน แต่มันจะหมุนไปหลายรอบกลายเป็น 30,000 หรือจะละลายไป ต้องดูของจริง

สรุปว่าโอกาสที่เพื่อไทยจะได้ ส.ส.ประมาณ 265 คน มีความเป็นไปได้สูง แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะคะแนนของฝ่ายประชาธิปไตยในครั้งนี้ไม่ได้รวมอยู่ที่พรรคเดียวแบบปี 2554 คะแนนต้องแบ่งไปที่พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ และยังมีพรรคตั้งใหม่แบบไทยสร้างไทย

การมีนโยบายทีเด็ด จะมีผลอย่างไร หลังจากนี้ 10 วัน เสียงวิจารณ์ และผลสำรวจ ที่มีต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อาจชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นตัวเลขชัดเจน