‘บทที่หนึ่ง’ | ปริญญากร วรวรรณ

ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ

ป่า หรือโรงเรียนที่ผมเรียนนั้น ไม่มีกำหนดเวลาว่าต้องเรียนกี่ปี มีบทเรียนมหาศาล ดูคล้ายกับว่า จะไม่มีวันเรียนได้จบ “ครู” ผู้สอนไม่บอกหรอกว่า นักศึกษาเรียนจบหรือยัง และไม่มีใบปริญญาใดๆ ให้

ผู้เรียนต้องรู้และเลือกบทเรียนที่ได้รับต่างๆ นั้น ไปปรับใช้ด้วยตัวเอง

โรงเรียนนี้กว้าง แต่สำหรับผม ห้องเรียนเป็นห้องแคบๆ ที่เรียกว่า ซุ้มบังไพร

ที่โรงเรียนนี้ ในวิชาที่ผมเรียนมีความจำเป็นต้อง “ซ่อน” ตัวอย่างมิดชิด พยายามไม่ให้ครูผู้สอนรู้ว่ามีผมอยู่ในบริเวณนั้น

การแอบซ่อน เฝ้าดูเพื่อรับบทเรียน ตามแหล่งอาหารที่เหล่าครูจะเข้ามากินตามฤดูกาล ค่อนข้างยาก

ปัจจัยสำคัญคือเรื่องของกระแสลม เพราะครู หรือเหล่าสัตว์ป่าทั้งหลาย มีทักษะในการรับกลิ่นเป็นเลิศ และส่วนใหญ่จะเชื่อจมูกมากกว่าสายตา

ไม่ว่าผมจะแอบซ่อนอยู่ในซุ้มบังไพรอันมิดชิดเพียงไร หากผมเป็นฝ่ายอยู่ด้านเหนือลม สัตว์จะรู้ทันที

หลายตัวค่อยๆ เดินหลบเลี่ยงไป แต่ส่วนใหญ่จะแสดงอาการตื่นหนี

เช่นนี้ การต้องเฝ้ารออยู่กับความว่างเปล่า ใช้เวลาทบทวนบทเรียนเก่า ก็จำเป็น

เฝ้ารอตามแหล่งอาหาร หรือโป่ง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารเสริม ไม่ง่าย แต่มีวิชาเรียนที่ยากกว่านี้ นั่นคือ การเฝ้าซาก…

 

ครั้งหนึ่ง ผมพบซากควายป่านอนอยู่บนสันดอนทรายกลางลำห้วย ร่องรอยรอบๆ ทำให้รู้ว่า เป็นการลงมือของเสือโคร่ง ซากอยู่ห่างจากแคมป์ราว 4 กิโลเมตร สภาพซากเพิ่งถูกกินช่วงก้นและท้องไปบางส่วน เป็นควายป่าร่างกำยำโตเต็มวัย

ผมมองทำเลหาที่ตั้งซุ้มบังไพรด้านตะวันออกนั่น ยากเพราะเป็นหน้าผาชัน ส่วนด้านตะวันตกมีด่าน มีรอยตีนสัตว์ป่าย่ำ คาดว่าเป็นเส้นทางที่เสือเจ้าของซาก จะใช้ด้วย

ถัดจากด่านไปสัก 30 เมตร มีต้นมะเดื่อใหญ่ โคนต้นเป็นดงหญ้ารกๆ อยู่บนฝั่งห้วย ระดับสูงกว่าพื้นน้ำสัก 4 เมตร เป็นทำเลที่เหมาะสมสำหรับตั้งซุ้มบังไพรที่สุดในบริเวณนี้

แต่การอยู่ใกล้ด่านแค่ 4 เมตรอาจเป็นปัญหา ขยับตัวและระวังเรื่องทำเสียงผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นรูดซิปเป้ เปิดกล่องข้าว

เรื่องกลิ่น ผมก็หวังว่ากระแสลมจะเป็นใจให้ผมเป็นฝ่ายอยู่ใต้ลม

ตั้งซุ้มบังไพรที่เอาใบไม้มาบังจนมิดชิด เก็บขี้ควายป่ามาผสมน้ำ และรดรอบๆ ซุ้ม ต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นมาก เพราะนี่ไม่ใช่การเฝ้ารอเพื่อถ่ายรูป ที่ไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรมาให้ถ่ายบ้าง

แต่ผมกำลังรอเสือ ผู้เป็นเจ้าของซาก

 

ผมถอยแคมป์ออกมาให้ห่างริมลำห้วยอีกหนึ่งกิโลเมตร เตาแก๊สอันเล็กช่วยให้ไม่ต้องก่อกองไฟ ขึ้นเปลตั้งแต่พลบค่ำ

ราวสองทุ่ม ผมได้ยินเสียงทักทาย เสือส่งเสียงคำรามท่วงทำนองสั้นๆ กระชั้นๆ ไม่มีสำเนียงคุกคาม แต่น่าจะเป็นการบอกถึงความเป็นเจ้าของซาก และสัมผัสได้ว่า มีคนอยู่แถวๆ นั้น

คืนนั้น ผมนอนไม่ค่อยหลับ ตื่นเต้น ใจเร่งให้ฟ้าสว่างไวๆ

หลับตาเห็นเจ้าของซากเดินมาตามลำห้วยโล่งๆ

ผมลุกขึ้นจากเปลตั้งแต่ตีสี่

เตรียมเสบียง ข้าวหุงไว้ตั้งแต่เมื่อคืน กุนเชียงทอดสองชิ้นใส่กล่องข้าว

ออกเดินจากแคมป์ และถึงซุ้มบังไพรตอนฟ้าเริ่มสว่าง ซากเลือนรางอยู่ในความสลัว

รอจนพลบค่ำ ตลอดทั้งวันที่นั่นมีเพียงผมกับซาก อีกา และเหี้ยอีกหนึ่งตัว

ควายป่า – ควายป่าตัวผู้โตเต็มวัย บึกบึน แม้จะอยู่ในสถานภาพของความเป็นเหยื่อ และย่อมไม่ใช่งานง่ายของเสือ

ตลอดสัปดาห์ ผมปฏิบัติเช่นนี้ อยู่ในซุ้มบังไพรวันละกว่า 10 ชั่วโมง กลางคืน นอนฟังเสียงคำราม ซากมีร่องรอยถูกกิน และโทรมลงเรื่อยๆ หนอนตัวโต เหี้ยเข้ามาตามหน้าที่ของมันคือกำจัดซาก

เสือไม่เข้าในตอนกลางวัน มันรู้ว่าผมเฝ้ารออยู่

นี่คือเสือ ไม่ผิดนักหากจะพูดว่า อยู่ในสถานภาพ “ครูใหญ่”

งานของเสือไม่เคยง่าย ลงมือล่า 10 ครั้ง จะสำเร็จเพียงหนึ่งครั้ง อดทน รอคอย พลาดแล้วเริ่มต้นใหม่ คือสิ่งที่มาพร้อมกับความเป็นเสือ

 

เป็นหนึ่งสัปดาห์แห่งการเรียน เป็นบทพิสูจน์ความอดทน สำหรับผม ดูเหมือนกำลังได้เรียน “บทที่หนึ่ง”

เสียงคำรามตอนกลางคืน คล้ายจะเจตนาสอน

หากจะเดินไปบนหนทางนี้ บทเรียนแรกคือ อดทน รู้จักรอคอย พร้อมเริ่มต้นใหม่

เคารพ นับถือ และทำให้ได้อย่างครู •

 

บรรยายภาพ

ควายป่า – ควายป่าตัวผู้โตเต็มวัย บึกบึน แม้จะอยู่ในสถานภาพของความเป็นเหยื่อ และย่อมไม่ใช่งานง่ายของเสือ

 

หลังเลนส์ในดงลึก | ปริญญากร วรวรรณ