เมื่อสหรัฐอเมริกา ไล่ล่า ‘วากเนอร์ กรุ๊ป’

เมื่อ 26 มกราคมที่ผ่านมา เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐอเมริกา ประกาศอย่างเป็นทางการระบุว่า “วากเนอร์ กรุ๊ป” บริษัทสัญชาติรัสเซียที่ให้บริการ “กองทัพนักรบรับจ้าง” ที่กำลังมีบทบาทสำคัญอยู่ในยูเครนในนามของรัสเซียนั้น ถือเป็น “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” รายสำคัญ

นัยสำคัญตามประกาศดังกล่าวนั้น ไม่เพียงหมายความว่า “วากเนอร์ กรุ๊ป” รวมถึงนิติบุคคลสัญชาติรัสเซียอื่นๆ อีก 15 ราย กับบุคคลสัญชาติรัสเซียอีก 8 ราย ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงอยู่ด้วย ต้องตกเป็นเป้าหมายการแซงก์ชั่น ผู้ใดที่เข้าไปทำธุรกิจด้วย โดยเฉพาะธุรกิจที่ยังผลให้กลุ่มนักรบรับจ้างนี้สามารถครอบครองเทคโนโลยีหรืออาวุธของสหรัฐอเมริกา ถือเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายอเมริกันเท่านั้น

แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนออกไปว่า สหรัฐอเมริกาพร้อมที่จะ “ไล่ล่า” เพื่อโค่นล้ม “กองทัพนอกกฎหมาย” นี้แล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

 

“วากเนอร์ กรุ๊ป” ดำรงอยู่อย่าง “ลับๆ” มานานแล้ว เกิดขึ้นและดำรงอยู่โดยปราศจากสถานะทางกฎหมายใดๆ รองรับ และไม่เคยมีใครในหน่วยงานของทางการรัสเซียยอมรับว่ามีกลุ่มนักรบรับจ้างเช่นนี้คงอยู่มาโดยตลอด

ทั้งๆ ที่วากเนอร์ กรุ๊ป ทำงานสอดประสานใกล้ชิดกับหน่วยงานทางทหารของรัสเซียมาโดยตลอด

วากเนอร์ กรุ๊ป เปิดสำนักงานใหญ่ของตนอยู่ในนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมืองใหญ่อันดับสองของรัสเซียก็จริง แต่ฐานที่มั่นสำคัญของกลุ่มนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ เป็นทั้งแหล่งรวมพลและเป็นแหล่งฝึกยุทธวิธีที่สำคัญ

ไม่ได้เป็นเรื่องบังเอิญแต่อย่างใดที่ฐานที่มั่นเดียวกันดังกล่าวนั้น คือที่ตั้งของกองพลหนึ่งของหน่วยรบพิเศษในสังกัดหน่วยสืบราชการลับของกองทัพรัสเซีย ที่เรียกว่า “จีอาร์ยู” นั่นเอง

การดำรงอยู่ดังกล่าวเป็นความลับ จนกระทั่ง เยฟเกนี พริโกซิน อดีตนักโทษระดับ “เจ้าพ่อ” ที่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจ ผู้ซึ่งมีความสนิทสนมเป็นพิเศษกับวลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย ออกมายอมรับอย่างเปิดเผยเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วว่า ตนเป็นผู้ก่อตั้งวากเนอร์ขึ้นมาในปี 2014

ก่อนหน้าที่จะมีการเปิดเผย “อย่างเป็นทางการ” ดังกล่าว การมีอยู่ของ “วากเนอร์ กรุ๊ป” เคยถูกนำมาเปิดโปงต่อสาธารณชนทั่วโลก เมื่อ “นักรบรับจ้าง” รายหนึ่งของวากเนอร์ แอบเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง บรรยายถึงพฤติกรรมและประสบการณ์ที่ตนได้รับระหว่างปฏิบัติการทางทหารในนามของกองทัพรัสเซียอยู่ในประเทศซีเรีย อันเป็นเหตุผลหนึ่งที่ช่วยค้ำจุนให้รัฐบาลเผด็จการ บาร์ชาร์ อัล อัสซาด ดำรงอยู่มาจนถึงขณะนี้

นักรบรับจ้างผู้เขียนหนังสือเล่มนั้น ยื่นเรื่องขอลี้ภัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศสในเวลาต่อมา

เมื่อราวกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา นักรบรับจ้างระดับ “ผู้บังคับการ” อีกรายของวากเนอร์ กรุ๊ป หลบหนีออกมาจากยูเครน และลงเอยไปถูกจับกุมตัวที่ประเทศนอร์เวย์ และรับปากจะเปิดเผยความลับเท่าที่รู้เกี่ยวกับองค์กรนี้ให้กับหน่วยงานของโลกตะวันตกทั้งหมด

 

กระทรวงกลาโหมของสหราชอาณาจักร ประเมินว่า วากเนอร์ กรุ๊ป มีกองกำลังที่ปฏิบัติการอยู่ในยูเครนราว 50,000 คน ส่วนใหญ่แล้วเป็น “นักโทษ” ที่เกณฑ์ออกมาจากเรือนจำในรัสเซีย โดยมีข้อเสนอ ยุติโทษจำคุกที่หลงเหลืออยู่ เป็นการแลกเปลี่ยนกับการทำหน้าที่ในสงคราม

มี “ทหารรับจ้าง” ที่ปลดระวางจากกองทัพแล้วเพียงแค่ราวๆ 10,000 คนเท่านั้น

สอดคล้องกับการประเมินของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เอ็นเอสซี) ของสหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า ราว 4 ใน 5 ของนักรบรับจ้างของวากเนอร์ เป็น “ขี้คุกเดนตาย” ที่เดินตรงออกมาจากห้องขังสู่สมรภูมิในยูเครน

ว่ากันว่า นักรบของกลุ่มมีบทบาทสำคัญต่อยุทธการของรัสเซียที่เมืองโซเลดาร์ และบักห์มุท สองสมรภูมิหลักของยูเครนในเวลานี้

ก่อนหน้ายูเครนและซีเรีย วากเนอร์ กรุ๊ปเคยทำหน้าที่ในนามของกองทัพรัสเซียอยู่ในประเทศอย่างลิเบีย, ซูดาน, มาลี และสาธารณรัฐแอฟริกากลาง

ข้ออ้างของรัสเซียในการส่งกองกำลังเข้าไปในประเทศเหล่านั้น ก็คือ เพื่อให้ความช่วยเหลือรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเอาชนะฝ่ายกบฏ หรือไม่ก็กองกำลังญิฮาดในพื้นที่

 

อย่างไรก็ตาม รายงานของไฟแนนเชียลไทม์ส เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วระบุว่า ข้อแลกเปลี่ยนสำหรับปฏิบัติการของวากเนอร์ กรุ๊ปในแอฟริกากลางก็คือ การได้สิทธิสัมปทานในเหมืองทอง และเพชรพลอยที่นั่น

สอดคล้องกับรายงานของเฟเดอริกา ไซนี ฟาซาน็อตติ ของสถาบันบรูกกิงส์ ที่ระบุว่า รัฐบาลในประเทศแอฟริกาหลายประเทศ ใช้สิทธิสัมปทานในแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ หรือการให้สัญญาสัมปทานในเชิงพาณิชย์ กับการเข้าถึงฐานทัพทางยุทธศาสตร์ เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนกับปฏิบัติการของกลุ่มนักรบรับจ้างเหล่านี้

ในบริษัทของเยฟเกนี พริโกซิน ยังมีแผนกหนึ่ง ตั้งชื่อเสียโก้หรูว่า “สำนักงานวิจัยอินเตอร์เน็ต” แต่มีภารกิจหลักในการสร้างและเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิด กับข้อมูลผิดๆ ขึ้นในโลกออนไลน์ โดยมีเป้าหมายหลักที่สำคัญก็คือการ “สร้างความเสียหายให้กับประชาธิปไตยในโลกตะวันตก”

หน่วยงานนี้มีบทบาทอย่างสูงในการสร้างทฤษฎีสมคบคิดและเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ ในระหว่างการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2016 ซึ่งส่งผลให้โดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นเป็นผู้นำสหรัฐ

จอห์น เคอร์บี โฆษกของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (เอ็นเอสซี) ของสหรัฐอเมริกา ระบุเอาไว้ว่า การกำหนดให้วากเนอร์ กรุ๊ป เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาตินั้น จะช่วยเปิดทางให้สหรัฐอเมริกาสามารถไล่ล่ากลุ่มนี้ได้หลากหลายวิธีมากขึ้น

ไม่เฉพาะแต่ในยูเครนเท่านั้น แต่เป็นในทุกพื้นที่ทั่วโลกอีกด้วย