‘อนุทิน’ พูดแล้วทำ พร้อมเป็นนายกฯ ฟันธง! ดีกว่า 8 ปีของประยุทธ์แน่นอน

ขึ้นชื่อว่าเป็นพรรคที่เนื้อหอมที่สุดในบรรดาพรรคการเมือง ที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่สนามเลือกตั้งใหญ่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า สำหรับพรรคภูมิใจไทย ของ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” หลังปรากฏภาพนักการเมืองทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ เปลี่ยนขั้วโยกย้ายจากพรรคเดิมมาซบอกภูมิใจไทยเป็นจำนวนมาก

จนทำให้ตอนนี้ภูมิใจไทยดูเป็นพรรคที่มีความพร้อมเกือบจะเต็มร้อยในการเข้าสู่สนามเลือกตั้ง รวมไปถึงท่าทีความพร้อมในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่เช่นกัน

“นายอนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เปิดพรรค ให้สัมภาษณ์พิเศษ รายการ “เอ็กซ์ & อ๊อก Talk ทุกเรื่อง : มติชนทีวี” เปิดใจถึงความพร้อมทั้งคนทั้งพรรคในการเตรียมตัวรับศึกเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง รวมถึงการปักธงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่ได้ “นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” อดีต รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้ามาเป็นหัวหอกสำคัญชิงเก้าอี้ ส.ส.ในพื้นที่กรุงเทพฯ

“ภูมิใจไทยพร้อมสำหรับการเข้าสู่สนามเลือกตั้ง พร้อมมาประมาณ 1 ปีแล้วครับ เราได้วางแผนไว้ว่าอุบัติเหตุทางการเมืองอาจเกิดขึ้นได้เมื่อรัฐบาลผ่านพ้นปีที่สามเป็นต้นไป เพราะฉะนั้น เราก็ได้เตรียมตัวเตรียมความพร้อมสู่การเลือกตั้ง ซึ่งโชคดีที่ในที่สุด รัฐบาลก็น่าจะไปสิ้นสุดเอาตอนใกล้ๆ ครบวาระ ซึ่งเราก็สามารถทำความพร้อมของเราให้มีความมั่นคงเพิ่มมากขึ้น”

“ส่วนเรื่องจะเป็นรัฐบาลหลังเลือกตั้งหรือว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ผมอยากจะเรียนว่า ขอให้ผลการเลือกตั้งได้ออกมาเป็นที่เรียบร้อยก่อน ผมเป็นแคนดิเดตคนเดียวของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งก็เป็นประเพณีที่ปฏิบัติมาตลอด”

คำตอบจากนายอนุทินเมื่อถามถึงความพร้อมส่วนตัวและพรรคในศึกเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น

นอกจากความพร้อมที่เตรียมตัวมาอย่างดี ที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยได้แสดงให้เห็นถึงการ “พูดแล้วทำ” มาโดยตลอด จนสิ่งนี้กลายเป็นจุดแข็งของพรรค และอีกหนึ่งจุดยืนที่ถูกชูขึ้นมาในครั้งนี้คือต้องการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

“ผมแสดงให้เห็นตลอด พูดแล้วทำ ทำได้เร็ว ทำได้เลย ทำทันที ส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องการทำงาน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของรัฐมนตรีในสังกัดพรรคภูมิใจไทยมาโดยตลอด เราต้องดำรงความเป็นปึกแผ่น เป็นเอกภาพ นี่คือจุดแข็งจุดหนึ่งของพรรคในสายตาคนภายนอก ผมไม่เชื่อในเรื่องของความแตกแยก การใช้ความรุนแรง การใช้อารมณ์ ความเกรี้ยวกราด เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่น่าจะทำให้เกิดความก้าวหน้า หรือผลสำเร็จใดๆ ได้”

“แต่ในความเป็นคนที่มีบุคลิกสมานฉันท์ ทุกคนเป็นเพื่อนพ้องกันหมด ก็มีความเด็ดขาดอยู่ในตัว มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ สถานการณ์ใดที่พรรคภูมิใจไทยควรจะมีความอะลุ่มอล่วย ควรจะมีความยืดหยุ่น เราพร้อมที่จะมีและนำไปสู่เป้าหมายผลสำเร็จได้”

“แต่ถ้ามีสถานการณ์ใดๆ ที่ต้องการความเด็ดขาด ต้องการความแน่วแน่ เราก็พร้อมที่บทบาทนั้นให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา” นายอนุทินกล่าว

 

ถามว่า หากวันหนึ่งที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีชื่อ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” ประเทศไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นอย่างแรก นายอนุทินเผยว่า ปัจจัยหลักสำคัญคือต้องได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนก่อน และพร้อมทำทุกอย่างตามที่ได้ให้สัญญากับพี่น้องประชาชน

“เราต้องได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนก่อน ดูจากสี่ปีที่ผ่านมาที่เราเป็นรัฐบาล ถ้าเขามีความพึงพอใจว่า กัญชามันก็สำเร็จ เรื่อง กยศ. ปลดค้ำประกัน ลดดอกเบี้ยให้ ถึงแม้ว่าจะเหลือ 1% เดี๋ยวเข้าไปก็จะทำให้สำเร็จ อย่างน้อยก็ทำมาเรียบร้อย เรื่องสาธารณสุขถ้วนหน้า หลักประกันสุขภาพไปถึงทุกคน รักษาได้ทุกที่ ที่เราได้ให้สัญญากับประชาชนไว้ก็ทำสำเร็จ เรื่องของระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน การคมนาคมขนส่ง โลจิสติกส์ ทุกอย่างสำเร็จอยู่ในรัฐบาลในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา แล้วก็กระทรวงในความรับผิดชอบดูแลของพรรคภูมิใจไทยทั้ง 3 กระทรวง อย่างสาธารณสุข คมนาคม ท่องเที่ยว ผมคิดว่าถ้าท่านมองด้วยความเป็นธรรม ก็จะเห็นได้ว่า 3 กระทรวงนี้มีบทบาทเป็นอย่างมากในการนำประเทศไทยต่อสู้ฟันฝ่าแล้วก็เดินพ้นจากสถานการณ์โควิดที่คุกคามประเทศของเราตลอดช่วงรัฐบาลนี้เลย”

นายอนุทินยังกล่าวต่ออีกว่า จะทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้กับพี่น้องประชาชน แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะให้ความมั่นใจได้ คือ ไม่ว่าจะได้เป็นนายกฯ เป็นพรรคร่วมรัฐบาล หรือแม้กระทั่งเป็นฝ่ายค้าน สิ่งที่พรรคภูมิใจไทยจะยึดถืออยู่เสมอก็คือ การแก้ไขปัญหาในระบบ ไม่เล่นนอกระบบ ไม่เชื่อถือในเรื่องของความรุนแรง จะไม่เป็นสาเหตุแห่งความแตกแยก

นอกเหนือจากนั้นจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะนำมาซึ่งความสงบสุข ความเป็นปึกแผ่น แล้วก็นำประเทศเดินหน้าต่อไป นี่คือเอกลักษณ์ของพรรคภูมิใจไทย

 

ส่วนถ้าเข้ามาเป็นแกนนำรัฐบาลแล้ว จะทำให้ได้ดีกว่า 8 ปีของ “พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หรือไม่ นายอนุทินย้ำอย่างชัดเจนว่า “ดีกว่าอย่างแน่นอน”

“ด้วยประสบการณ์ที่ทำงานมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ก็น่าจะดีกว่า 8 ปีที่แล้ว 4 ปีต่อไป ถ้าพรรคภูมิใจไทยมีโอกาสเข้ามาทำงานเราจะพาประเทศไทยเดินหน้าไปข้างหน้า ทำให้ประชาชนเข้าใจ ให้ภาคส่วนต่างๆ มีความสมานสามัคคีกัน เข้าใจตรงกันว่าความเป็นปึกแผ่นเท่านั้นที่จะนำชาติเดินหน้าไปได้ด้วยความมั่นคง”

“การเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ว่าจะคิดยังไงก็แล้วแต่ อยู่ที่ฝีมือของแต่ละคนแต่ละพรรคล้วนๆ ไม่มีตัวช่วยใดๆ ทั้งสิ้น ต่อให้มีเรื่องของการโหวตผ่าน ส.ว. ทนอีกปีเดียวครับ เดี๋ยวก็หมดแล้ว ถ้ามันไม่ได้เรื่อง ปีหน้าก็เลือกตั้งใหม่ การเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นเลือกตั้งของพี่น้องประชาชนจะใช้สิทธิอย่างเต็มที่ จะไม่มีใครมาลิดรอนสิทธิของท่าน ไม่ว่ากรณีใดๆ แล้วผมเชื่อว่าถ้ารวมกันได้จริงๆ มีจำนวนเสียงในสภาที่เกินกึ่งหนึ่งจริงๆ ผมเชื่อมั่นว่าท่าน ส.ว. ท่านก็ต้องยืนอยู่ข้างพี่น้องประชาชน แล้วผมจะไม่เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เกิดความลักลั่น เกิดความไม่เท่าเทียม ไม่ยุติธรรมในประชาธิปไตย พรรคภูมิใจไทยจะไม่เป็นส่วนหนึ่งตรงนั้น”

ถามถึงเรื่องที่ภูมิใจไทยพยายามจะปักธงชิงเก้าอี้ ส.ส.พื้นที่ในกรุงเทพฯ โดยได้ “นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” อดีต รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มาเป็นหัวหอกสำคัญ ไม่ใช่ปมฝังใจของพรรค แต่เป็นการขยายฐานของพรรคให้ครอบคลุมได้ทั่วทุกพื้นที่มากกว่า

“เรื่องปมในใจคงไม่ได้มีอะไร เราจะไปมีความคาใจกับพี่น้องประชาชนไม่ได้ แน่นอนว่าพรรคภูมิใจไทยเราเติบโตและมีบทบาทเป็นครั้งแรกก็หลังการเลือกตั้งปี 2562 เราเป็นรัฐบาลมาครบ 4 ปี ผลงานก็เห็นๆ กันอยู่ว่ามีผลงานที่เป็นที่ยอมรับมีความน่าเชื่อถือ ถ้าเทียบกันกับ 10 ปีที่แล้วกับตอนนี้เป็นหนังคนละม้วน”

“เพราะฉะนั้น ในเมื่อพรรคมีที่ยืนได้ในหลายจังหวัดหลายพื้นที่ แสดงว่าเราก็ต้องได้รับความมั่นใจจากพี่น้องประชาชนมาในระดับหนึ่ง เราก็ต้องพยายามที่จะขยายฐานของเราไป ไม่ใช่แค่ที่กรุงเทพฯ อย่างเดียว 4 ปีที่ผ่านมา เราทำอะไรให้กับคนกรุงเทพฯ รักษาผลประโยชน์ของคนกรุงเทพฯ เยอะ กับคุณพุทธิพงษ์โชคดีมากที่คุยกันรู้เรื่อง เข้าใจคอนเซ็ปต์ภูมิใจไทย คิดว่าสไตล์การทำงานพรรคภูมิใจไทยกับคุณพุทธิพงษ์ น่าจะทำประโยชน์ให้กับคนกรุงเทพฯ ได้ เลยมาทำงานร่วมกัน”

“แต่ว่าสิ่งที่มันต่างกันก็คือ เที่ยวนี้พรรคภูมิใจไทยมี ส.ส.เป็นผู้สมัคร เขาสามารถที่จะไปแนะนำพรรคภูมิใจไทยให้กับพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ได้ มันเป็นบริบทที่มันต่างกันเมื่อเทียบกับ 4 ปีที่แล้ว และเราก็มีความมั่นใจของเราในระดับหนึ่ง”

นายอนุทินย้ำคำตอบเดิมก่อนจบการสัมภาษณ์ ว่าภูมิใจไทยพร้อมแล้วในการเข้าสู่สนามเลือกตั้ง ทั้งในส่วนกำลังขุนพลและนโยบาย

แต่ท้ายที่สุดพรรคจะมีโอกาสมากหรือน้อยอย่างไรนั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับผลจากการกาบัตรเลือกตั้งของประชาชนอย่างแท้จริง