ในประเทศ : ลุ้นโฉม “ประยุทธ์ 5” เดิมพันสุดท้าย คสช. ร้อง “ว้าว” หรือร้อง “ยี้”?

ให้หลังการลาออกของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล จาก รมว.แรงงาน

กระแสปรับ ครม. “ประยุทธ์ 5” กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที

เพราะเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ครั้งนี้ จะไม่จบอยู่แค่การหาคนมาแทนตำแหน่งในกระทรวงแรงงานเท่านั้น แต่น่าจะลามไปยังกระทรวงอื่นๆ ด้วย

โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจและกระทรวงที่มี “บิ๊กทหาร” นั่งคุมอยู่

วันอังคารที่ผ่านมา ภายหลังการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ออกมาส่งสัญญาณแล้วว่า

สถานการณ์รัฐบาลในตอนนี้ มีความจำเป็นต้องปรับ ครม. เพื่อให้การทำงานปฏิรูปและยุทธศาสตร์เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

ย้อนกลับไปยังการลาออกของ พล.อ.ศิริชัย ได้ก่อให้เกิดการวิเคราะห์คาดเดาไปต่างๆ นานา

บ้างก็ว่า สาเหตุมาจากความคิดเห็นไม่ตรงกันในการแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าว ระหว่างรัฐมนตรีกับผู้มีอำนาจในทำเนียบรัฐบาล โดยมีเรื่องการจัดซื้อ “เครื่องสแกนม่านตา” และ “ด๊อกเตอร์ อ.” เข้ามาเกี่ยวข้อง

บ้างก็ว่า เกิดจากความน้อยอกน้อยใจสืบเนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจมาตรา 44 สั่งย้าย นายวรานนท์ ปีติวรรณ พ้นอธิบดีกรมการจัดหางาน โดย พล.อ.ศิริชัยไม่รู้เรื่องมาก่อน

จึงรู้สึกว่าโดน “หักหน้า” ซ้ำสอง จากครั้งแรกที่ ครม. มีมติดึง นายจรินทร์ จักกะพาก จากอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย “ข้ามห้วย” มาเป็นปลัดแรงงาน

หักดิบโผ “คนใน” ที่ พล.อ.ศิริชัยเสนอ

หรือที่จริงแล้ว “ไม่มีอะไรในกอไผ่” พล.อ.ศิริชัยเพียงแค่ต้องการลาออกเพื่อไปทำธุรกิจ เหมือนอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบชี้แจงกับสื่อมวลชน ซึ่งได้พยายามพุ่งเป้าซักถามเบื้องหลังการลาออกของ พล.อ.ศิริชัยคือ

สัญญาณ “ปริแตก” ภายในรัฐบาลหรือไม่

ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม

การลาออกของ พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ได้กลายเป็นการสร้างจังหวะอันเหมาะสมที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะปรับ ครม. เสริมทีมการทำงานในช่วงปีสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งจะมาถึง

นอกเหนือจากแรงกระเพื่อมที่อาจเกิดขึ้น ความน่าสนใจในการปรับ ครม. ครั้งนี้ ยังอยู่ที่ว่าน่าจะเป็นปรับ ครม. ครั้งสุดท้ายของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์

ที่ผลจากการปรับเปลี่ยนไม่ว่าออกมาในเชิงบวก หรือเชิงลบ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อตัว “ผู้มีอำนาจ” ในการ “ต่อยอด” อนาคตทางการเมือง

กล่าวคือ ถ้า “ประยุทธ์ 5” เผยโฉมต่อสาธารณะ แล้วมีเสียงร้อง “ว้าว” มากกว่าเสียงร้อง “ยี้” รัฐบาลและ คสช. ก็เดินหน้าต่อได้อย่างราบรื่น แต่หากเสียงร้อง “ยี้” มากกว่า อะไรต่อมิอะไรก็น่าจะลำบาก

การปรับ ครม. เป็นเรื่อง “อ่อนไหว” สำหรับรัฐบาลทุกชุด และเป็นเรื่องปกติที่พรรคการเมืองและนักการเมืองออกมาวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความเห็นกันหลากหลาย

บางคนในพรรคเพื่อไทยเสนอให้ “ล้างไพ่” รัฐบาลใหม่หมด

วิธีก็คือให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกจากนายกฯ เพื่อให้ ครม. สิ้นสภาพทั้งคณะ จากนั้นให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โหวตเลือก พล.อ.ประยุทธ์กลับเข้ามาเป็นนายกฯ จัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่

วิธีนี้จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ลำบากใจน้อยกว่าการเลือกปรับรัฐมนตรีออกเพียงบางตำแหน่ง เพราะนั่นจะทำให้คนถูกปรับออกไม่พอใจ เกิดเป็นแรงกระเพื่อมในที่สุด

สิ่งที่คนในพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์มีความเห็นคล้ายกันอีกอย่าง คือการปรับ ครม. ควรมุ่งไปที่กระทรวงเศรษฐกิจเป็นหลัก รวมถึงกระทรวงที่มี “บิ๊กทหาร” นั่งคุมอยู่

“ควรปรับกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เนื่องจากประชาชนมีความเดือดร้อนเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำ ค้าขายฝืดเคือง ดังนั้น กระทรวงที่เกี่ยวข้องก็ควรพิจารณาเปลี่ยนแปลง—

—ส่วนจะแค่ไหนอย่างไรอยู่ที่นายกฯ หวังว่าจะคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าเพื่อนพ้องน้องพี่อย่างเดียว” นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระบุ

นายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์และแกนนำ กปปส. เรียกร้องชัดเจน

ว่าต้องการให้ปรับ รมว.เกษตรและสหกรณ์ กับ รมว.พาณิชย์ เนื่องจากไม่สามารถทำงานแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำได้ ไม่ว่าข้าว หรือยางพารา ที่ตกต่ำเป็นประวัติการณ์

ขณะที่ นายเจริญ คันธวงศ์ เสนอว่าให้ใช้ “สฤษดิ์โมเดล” เป็นแบบอย่างปรับ ครม. ดึงคนเก่ง คนมีฝีมือในการบริหารเข้ามาทำงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนทหารที่เป็นรัฐมนตรีมากกว่า 3 ปี

ให้ “พักผ่อน” ได้แล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ในฐานะผู้มีอำนาจเต็มยืนยันว่า

การปรับ ครม. จะไม่มีเรื่องโควต้าทหาร ตำรวจ และพลเรือน เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์

พร้อมทั้งปฏิเสธกระแสข่าวการเตรียมดึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนปัจจุบันเข้ามาเป็นรัฐมนตรี

ทั้งนี้ ภายหลังประชุม คสช. และ ครม.วันอังคารที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวปรับ ครม. เริ่มมีความคึกคัก เข้มข้นมากขึ้น

ท่ามกลางกระแสข่าวโจมตี และเรียกร้องให้ปรับออกรัฐมนตรีหลายราย

โดยเป้าหลักๆ ยังอยู่ที่ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย รวมถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม

ขณะที่นักวิชาการเพ่งเล็งเพิ่มเติมไปยังกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

ข่าวจากสื่อบางฉบับอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้เรียกรัฐมนตรีในกลุ่มเพื่อนร่วมรุ่น “ตท.12” มาพูดคุยปรับความเข้าใจถึงแนวทางการปรับ ครม. แล้ว อาทิ

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ สนช. และอดีตประธานบอร์ด รฟม.

ข่าวเดียวกันยังระบุ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจเตรียมดึง นายยุคล ลิ้มแหลมทอง อดีต รมว.เกษตรฯ พรรคชาติไทย เข้ามาเสริมทีมเศรษฐกิจ ในตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ

ยังมีการตั้งข้อสังเกตทริป “ทัวร์จีน” ของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. กับ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ที่ปรากฏภาพถ่าย นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ แกนนำพรรคชาติพัฒนา และ นายกรพจน์ อัศวินวิจิตร อดีต รมช.พาณิชย์ โควต้าพรรคชาติพัฒนา ร่วมคณะไปด้วย

ทั้งหมดสอดรับกระแสข่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อยู่ระหว่างเดินสายทาบทามนักบริหารมืออาชีพ อดีตนักการเมืองเข้าร่วม “ครม.ประยุทธ์ 5” หลายตำแหน่ง

มีแผนเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ลด “โควต้าทหาร” ลง

รวมถึงภาพนิมิตของ “หลวงปู่ฤๅษีเกวลัน” ถ่ายทอดผ่านคำทำนายของโหรวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ หรือโหร คมช. ระบุถึงการปรับ ครม. เที่ยวนี้ว่าจะมีมากกว่า 10 ตำแหน่ง

จะมีการดึงคนจากหลายวงการ รวมถึงอดีตนักการเมืองเข้ามาร่วมทำงาน

อย่างไรก็ตาม โผปรับ ครม. ที่ถูกปล่อยออกมาในช่วงนี้

ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพียงกระแสรายวัน ที่ไม่มีใครในรัฐบาลกล้ายืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นไปตามนั้นหรือไม่

เพราะการตัดสินใจเอาใครเข้า-ใครออก รัฐมนตรีทุกคนในรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือไม่ก็ตาม ได้มอบอำนาจสิทธิขาดให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพียงคนเดียว

จากผลการสำรวจโพลของหลายสำนักในระยะนี้

พบว่าคะแนนนิยมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์กำลังอยู่ในช่วง “ลดลง” อย่างน่าใจหาย สวนทางเสียงเรียกร้องให้ “ปลดล็อก” พรรคการเมือง ออกมาโลดแล่นตามกติกา

ทั้ง 2 ประเด็นตีความได้ไม่ยาก ว่าประชาชนกำลังมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรกับการเมืองตอนนี้

ดังนั้น การปรับ ครม. ที่กำลังจะมีขึ้น แม้อาจก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมภายในอยู่บ้าง แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ทวงคืนเรตติ้งกลับมาได้ ก็ถือว่าคุ้มค่า

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จุดชี้ขาดสำคัญขึ้นอยู่กับว่าโฉมหน้าของ “ประยุทธ์ 5” จะออกมาแนวไหน อย่างไร

จะมีเสียงตอบรับร้อง “ว้าว” หรือร้อง “ยี้” มากกว่ากัน