ข้ามสมุทร (จบ) | เรื่องสั้น : วนิดา คุตตวัส

เรื่องสั้น | วนิดา คุตตวัส

ข้ามสมุทร (จบ)

 

เย็นวันนั้น ลุงจางชวนเฉินไปกินข้าวเย็นที่บ้าน ซึ่งไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์มากนัก ป้าจางร่วมกินมื้อเย็นด้วย บ้านของภัณฑารักษ์เป็นของทางการ ไม่ใหญ่โต แต่อยู่ได้สบายๆ สำหรับสามคน แม้ลุงจางกับหนูจุนจะคะยั้นคะยอและใช้ตะเกียบคีบกับข้าวให้ตลอดก็ตาม แต่ป้าก็กินได้ไม่มากนัก หลังอาหารเย็น ทั้งสี่คนนั่งดื่มชากับขนมหวานที่ห้องรับแขก ภาพวาดแปดเซียนข้ามสมุทรขนาดใหญ่สีสันโดดเด่น ช่วยให้ห้องดูสดใส เฉินเดินดูภาพถ่ายเก่าที่แขวนไว้ข้างฝา มีรูปคุณจางกับภรรยาตอนหนุ่มสาวและวันแต่งงาน คุณนายจางดูงดงามในวัยสาว ซึ่งยังคงเค้าเดิมแม้ในยามป่วยไข้ปัจจุบัน คุณจางกับคุณนายรู้จักกันตอนเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยจี่หนาน คุณจางจบโบราณคดี ส่วนคุณนายจางจบด้านอักษรศาสตร์ มีรูปเด็กชายซึ่งต่อมาเป็นภาพของชายหนุ่มหน้าตาดีที่อยู่ในชุดจบปริญญา

“นั่นรูปอาเหวิน ลูกชายของเรา เขาไปทำงานอยู่บริษัทใหญ่ที่เซี่ยงไฮ้ นานๆ ถึงกลับมาเยี่ยมบ้านช่วงวันหยุด” คุณจางเล่าให้ฟังระหว่างดื่มชา

“เธอชอบเผิงไหลมั้ย” คุณนายจางถามขึ้น

“ผมเพิ่งมาถึง แต่ที่นี่เงียบสงบดีน่ะครับ ตัวเมืองใหม่ก็คึกคักดี แต่ผมชอบที่เงียบๆ มากกว่า” เฉินตอบอย่างระมัดระวัง

“เธอคงรู้ประวัติของเผิงไหลมาบ้างแล้ว คุณจางต้องการผู้ช่วยด้านประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะสื่อทันสมัยที่เขาไม่ค่อยถนัดนัก”

“นี่เธออย่าไปเร่งรัดอาเฉินมากนัก เขาเพิ่งมาได้วันเดียวเอง” คุณจางรีบขัดขึ้น

“ครับ ผมกำลังพยายามศึกษาอยู่ คุณนายคงพอให้คำแนะนำได้บ้างนะครับ”

“แหม คนแก่รุ่นฉันจะแนะนำอะไรได้ เสี่ยวจุนสิ เขาเก่งเรื่องคอมพิวเตอร์ แล้วก็เรียกป้าดีกว่าคุณนายนะ”

“ครับคุณป้า ผมอยากฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเผิงไหลหน่อยครับ ที่ผมอ่านมาแค่เล็กน้อย อาจมีประเด็นที่เราหยิบมาใช้งานได้”

“เธอถามถูกคนแล้ว จะว่าไป คุณนายจางรู้ดีกว่าฉันอีก” คุณจางรีบเสริม เพราะนานๆ ทีจะมีคนมาเยี่ยมบ้านและคุยกับคุณนายจาง

“ในความเห็นของฉัน เผิงไหลมีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์และเป็นต้นกำเนิดตำนานพื้นบ้านที่รู้จักกันดี เพียงแต่ยังไม่ได้หยิบยกมาให้เป็นที่รู้จักมากพอ เกี่ยวกับสถานที่ตั้งและแนะนำให้คนรุ่นใหม่สนใจศึกษา แน่นอนว่าเผิงไหลเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทะเลที่สำคัญ การสร้างป้อมค่ายและหอสังเกตการณ์ที่ผ่านกาลเวลามาหลายร้อยปี เป็นพยานสำคัญเรื่องนี้ เธอควรจะออกเดินดูส่วนต่างๆ ของพิพิธภัณฑ์ให้ละเอียดนะ จะได้เห็นว่ามีเนื้อหาด้านประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากมายที่พิพิธภัณฑ์อื่นสู้ไม่ได้เลย อย่างพวกเรือรบโบราณจากสมัยราชวงศ์หมิง”

เฉินพยักหน้ารับ ในขณะที่คุณจางนั่งดูภรรยาอย่างพอใจ คงเพราะเห็นว่าเธอเพลิดเพลินกับการพูดคุย และดูมีชีวิตชีวาขึ้น

“แน่นอนว่าเธอคงรู้ตำนานเด่นของเผิงไหล หรือที่เคยถูกเรียกว่าผาแดง เป็นที่ที่แปดเซียนแสดงอิทธิฤทธิ์ข้ามมหาสมุทรด้วยอาวุธประจำกายเพื่อไปยังดินแดนอมตะ และที่นี่ยังเป็นที่ที่จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ส่งเรือบรรทุกเด็กชาย 500 คนกับเด็กหญิง 500 คน ลงเรือเพื่อไปเสาะหายาอายุวัฒนะ เลยกลายเป็นตำนานว่าเด็กเหล่านั้นคือผู้ไปตั้งหลักปักฐานสร้างประเทศญี่ปุ่น อันที่จริงเมืองเผิงไหลนี้เปลี่ยนชื่อมาจากเติงโจวก็เพื่อเน้นเรื่องจากตำนาน เพราะไปเอาชื่อมาจากตำนานภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในเทพปกรณัมว่าด้วยภูเขาและทะเล หรือชานไฮ่จิง ในหนังสือนั้นเขียนว่าภูเขาเผิงไหลเป็นที่สถิตของแปดเซียน เป็นที่ที่ทุกสิ่งเป็นสีขาว แต่มีปราสาทราชวังสร้างจากทองคำและทองคำขาว ล้อมรอบด้วยต้นไม้ที่ออกผลเป็นเพชรนิลจินดา ที่ภูเขานี้ไม่มีความเจ็บไข้หรือฤดูหนาว ชามข้าวและถ้วยเหล้าจะเต็มอยู่เสมอไม่ว่าจะกินดื่มไปแค่ไหน และที่สำคัญคือมีต้นไม้ที่ออกผลทิพย์ที่สามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด ช่วยชุบชีวิตให้เยาว์วัยตลอดไป หรือแม้แต่ช่วยให้คนตายฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้” คุณนายจางกล่าวจบแล้วก็รีบเอาผ้าเช็ดหน้าปิดปาก ไอจนตัวงอ

“เธอคงเหนื่อยแล้วล่ะ น่าจะเข้าไปพักผ่อนก่อน” คุณจางรีบเอามือลูบหลังภรรยา หวังให้คลายอาการไอ

“ฉันไม่เป็นไรหรอก ขอโทษด้วยนะอาเฉิน แต่ฉันยังอยากอยู่คุยต่ออีกสักหน่อย นานๆ ทีจะมีแขกมาบ้าน” คุณนายจางรีบพูดหลังจากอาการไอค่อยบรรเทาลง และจิบน้ำชาเล็กน้อย “พวกเด็กๆ มีความเห็นเรื่องตำนานนี้อย่างไรบ้างล่ะ”

“หนูว่าตำนานนี้น่าจะเกิดมาจากปรากฏการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นเฉพาะในเขตนี้น่ะค่ะ” จุนเสริมขึ้น “สมัยก่อนยังไม่มีความรู้เรื่องภาพลวงตาที่เกิดจากการหักเหของแสงเงา หรือที่เรียกว่า มิราจ สมัยนั้นคงจะน่าตื่นเต้นน่าดู ที่อยู่ๆ ก็มองเห็นบ้านเรือนลอยอยู่กลางทะเล แล้วก็หายไปไร้ร่องรอย แล้ววันดีคืนดีก็ปรากฏให้เห็นอีก โดยไม่รู้เลยว่าเป็นภาพลวงที่สะท้อนมาจากที่ห่างไกล แต่ดูเหมือนจริงขนาดเห็นผู้คนเดินไปมาอยู่ในบ้านเรือนเหล่านั้นด้วย ภาพสะท้อนนี้มักเกิดในทะเลทรายที่ลวงคนเดินทางให้ไปเที่ยวค้นหาและต้องหิวน้ำจนตายมาก่อนแล้ว แต่ที่นี่เป็นภาพลวงที่เกิดในทะเล มันจึงเป็นเรื่องที่พิเศษมากๆ ทำให้เกิดเป็นตำนานดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเซียน น่าเสียดายนะคะที่สมัยนี้ภาพสะท้อนพวกนี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นอีกแล้ว”

“อ้าว ทำไมภาพลวงมิราจถึงไม่มีอีกล่ะครับ” เฉินถามอย่างประหลาดใจ

จุนยิ้มแล้วกล่าวต่อ “พวกนักวิทยาศาสตร์บอกว่าปรากฏการณ์หักเหของแสงจนเกิดภาพมิราจในทะเลตรงนี้ มีองค์ประกอบที่ซับซ้อนกว่าในทะเลทราย เพราะขึ้นกับเงื่อนไขหลายอย่าง แม้แต่พวกตะกอนหรือพวกจุลชีพในท้องทะเล ก็มีส่วนเป็นตัวแปรด้วย สมัยนี้สิ่งแวดล้อมและมลพิษทั้งในอากาศและในทะเล ทำให้การหักเหของแสงเปลี่ยนไป ปรากฏการณ์พิเศษนี้เลยไม่ค่อยมีให้เห็นอีก น่าเสียดายมากเลยค่ะ หากปรากฏการณ์มิราจยังเกิดขึ้นสม่ำเสมอ จะเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดีมากๆ เลย เพราะไม่มีให้เห็นในที่อื่นๆ”

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิ ตอนลุงกับป้ามาอยู่ที่นี่ ก็เคยเห็นบ้างแค่ไม่กี่ครั้ง แล้วก็แต่ละครั้งก็แป๊บเดียว แบบว่าขนาดจะหยิบกล้องมาถ่ายยังไม่ทันเลย แต่พอได้เห็นแล้ว ก็น่าตื่นเต้นมาก พวกชาวบ้านบอกว่าช่วงที่จะเห็น มักเป็นเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน”

“ผมเห็นว่าตำนานเรื่องแปดเซียนที่เป็นอมตะ หรือเรื่องภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เป็นแนวความคิดทางลัทธิเต๋าที่จับจิตจับใจผู้คน” เฉินแสดงความเห็น “เพราะมันตอบสนองความต้องการของมนุษย์ที่จะเอาชนะธรรมชาติ คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย แน่นอนว่าพวกชนชั้นปกครองเป็นพวกที่ไม่อยากตายมากที่สุด จักรพรรดิจิ๋นซีคงอยากจะปกครองจีนไปตลอดกาล ความปรารถนาที่จะเป็นอมตะคือโจทย์สำคัญที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน เพราะมนุษย์เป็นพวกที่ต้องการดัดแปลงและเอาชนะธรรมชาติ ในยุคของเรา วิทยาศาสตร์คือเครื่องมือสำคัญในการเสาะแสวงหายารักษาโรค และการเข้าใกล้ยาอายุวัฒนะ ไปถึงการเอาชนะความตายได้ในที่สุด แต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคตที่อาจไปไม่ถึงน่ะครับ”

“เห็นไหมล่ะ เราเจอคนหนุ่มที่เข้าใจปรัชญาของเผิงไหลแล้วล่ะ ดีใจด้วยนะคุณจาง” คุณนายจางหันไปยิ้มกับคุณจาง ที่มองเฉินอย่างพอใจเช่นกัน

“เอาล่ะ น่าจะถึงเวลาที่คุณนายจางต้องไปพักผ่อนแล้ว อาเฉินก็ต้องกลับไปพักเหมือนกัน พรุ่งนี้ยังต้องทำงาน จุนยี้ช่วยไปส่งอาเฉินหน่อยนะ” คุณจางพูดพลางลุกขึ้นพยุงภรรยาเดินกลับไปห้องพักด้านหลัง

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรครับ ผมไปได้ ขอบคุณมากครับสำหรับอาหารค่ำ” เฉินรีบลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุม โดยสาวจุนเดินไปส่งที่ประตูบ้าน

“ขอบคุณมากค่ะ ที่ไปเป็นเพื่อนซ่อมโน้ตบุ๊ก แล้วเราคงได้คุยกันอีกนะคะ”

“ครับๆ คุณเข้าไปพักเถอะครับ แล้วเราคุยกันใหม่”

 

เฉินเข้าทำงานได้สัปดาห์หนึ่งก็พอจะเข้าใจความลำบากของหัวหน้าภัณฑารักษ์ เพราะคนในที่ทำงานแม้ว่าจะมีอัธยาศัยดี คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำแก่เฉิน แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกมีอายุแล้ว ไม่ถนัดในเรื่องเทคโนโลยี ทำงานมานานจนกลายเป็นเช้าชามเย็นชาม ส่วนพวกที่อายุน้อย ก็เป็นพวกเด็กเส้นที่มีผู้ใหญ่มาฝากให้ทำงาน เพื่อเป็นสะพานไปหางานภาครัฐที่อื่นต่อ สภาพในที่ทำงานจึงค่อนข้างย่ำอยู่กับที่ ช่วงพักกลางวันที่ทุกคนนำอาหารมาจากบ้านและแบ่งปันกัน พอจะพูดคุยกันได้บ้างในเรื่องทั่วๆ ไป จากวงสนทนาในหมู่เพื่อนร่วมงานนี้เอง ทำให้เฉินได้รับรู้ว่า สาวจุนเป็นคู่หมั้นคู่หมายของลูกชายหัวหน้าตั้งแต่เล็ก แต่ลูกชายไปทำงานในเมืองใหญ่ และดูเหมือนจะพาเพื่อนหญิงคนใหม่มาที่บ้าน ทำให้เฉินนึกอยากรู้ว่า ในใจของสาวจุนนั้น เธอยังคงคาดหวังกับหนุ่มคู่หมั้นแค่ไหน

เฉินทำร่างแผนประชาสัมพันธ์ได้เสร็จ โดยในร่างแผนเขาเสนอให้เน้นการประชาสัมพันธ์โดยใช้สื่อโซเชียลทันสมัยด้านต่างๆ และให้ชุมชนของเมืองเข้ามามีส่วนช่วยงานของพิพิธภัณฑ์ โดยเฉพาะเด็กนักเรียนหรือพวกนักศึกษาที่อาจมาเป็นไกด์อาสาสมัครพานักท่องเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ ที่มีพื้นที่กว้างขวางแต่ขาดแคลนบุคลากร

หัวหน้าจางอ่านแล้วก็แสดงความพอใจ และคิดว่าคงจะพอเริ่มงานตามแผนได้เลย โดยเฉพาะเรื่องการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ ส่วนเรื่องประสานกับสถาบันการศึกษา อาจต้องเตรียมแผนอีกระยะหนึ่ง เฉินเลยต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ยุ่งอยู่กับแผนการที่เกี่ยวกับสื่อโซเชียล จนแทบไม่มีเวลาติดต่อกับเพื่อนๆ และเขาเองก็ไม่ได้รับข่าวเพิ่มเติมจากเพื่อนด้วยเช่นกัน แต่เขาก็ได้รับเชิญไปร่วมอาหารเย็นที่บ้านหัวหน้าเกือบทุกวันจนกลายเป็นแขกประจำ จนวันหนึ่งในช่วงปลายเดือนมีนาคมนั้นเอง มีแขกสวมเสื้อโค้ตยาวสองคนท่าทางคล้ายตำรวจเข้าพบหัวหน้าจางโดยปิดประตูคุยกัน เมื่อแขกพิเศษกลับไปแล้ว หัวหน้าจางก็ยังคงปิดประตูเงียบอยู่พักใหญ่

จนเวลาใกล้เลิกงาน หัวหน้าจางออกมาบอกกับเฉินว่าเย็นนี้ไปกินข้าวที่บ้านด้วยกัน

 

ที่โต๊ะอาหารเย็น คุณนายจางไม่ได้มาร่วมโต๊ะด้วย เพราะอ่อนเพลียเกินไป บรรยากาศจึงค่อนข้างเงียบ แม้แต่สาวจุนที่เคยคุยเรื่องต่างๆ ก็ยังดูมีเรื่องครุ่นคิดในใจ ระหว่างอาหาร เฉินถามเรื่องแขกสองคนที่มาพบว่าเป็นใคร แต่หัวหน้าจางตอบว่า ไม่มีอะไร เป็นพวกของทางการมาเยี่ยมเยียนปกติ เพราะบริเวณนี้มีท่าเรือที่เป็นช่องทางขนสินค้าเถื่อนได้ จึงต้องมีการตรวจตราเป็นระยะๆ

ภายหลังอาหารเย็น หัวหน้าจางขอตัวไปดูคุณนายจางที่พักอยู่ในห้อง ส่วนจุนก็ดึงเฉินเข้าไปในห้องทำงานเล็กๆ ที่มีตู้หนังสือและโต๊ะทำงานตั้งอยู่ เฉินมองเห็นตำราเภสัชภาษาอังกฤษที่เปิดอยู่บนโต๊ะ ตาชั่งระบบดิจิทัล และแคปซูลเปล่ากับเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆ เมื่อเขาซักถาม จุนเม้มริมฝีปากและพูดโดยไม่ยอมสบตาว่า

“ตอนแรกที่หมอตรวจพบว่าเธอเป็นมะเร็ง คุณป้าไม่ยอมรักษาด้วยวิธีฉายแสงหรือเคมีบำบัด เธอบอกว่าคงจะทนเจ็บปวดจากการฉายแสงหรือคีโมไม่ได้แน่ คุณหมอเลยสั่งยาต้านมะเร็งของนอกชื่อว่า ไอเรสซา (Iressa) ที่ผลิตโดยแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ให้แทน หมอบอกว่า ไอเรสซาจะช่วยควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง แต่ยาตัวนี้แพงเกินกว่าที่เงินเดือนของคุณลุงจะจ่ายไหว ฉันเลยเช็กในอินเตอร์เน็ตแล้วพบว่าอินเดียเป็นแหล่งผลิตยาที่มีส่วนผสมเดียวกับไอเรสซาแต่ถูกกว่า เราสั่งซื้อยาจากอินเดียซึ่งได้ผลมาระยะหนึ่ง แต่ตอนนี้คุณป้าเริ่มมีอาการดื้อยาแล้ว ฉันเลยเช็กกับเว็บไซต์เพื่อหาคำแนะนำว่า จะทำอย่างไรหากคนไข้เริ่มดื้อยาไอเรสซา จากเว็บที่ชื่อ เต้นรำกับมะเร็ง มีคนที่เป็นคนไข้มะเร็งเขียนให้คำแนะนำการปรุงยาที่บ้านด้วยตัวเอง ฉันจำเป็นต้องทำ และต้องขอให้คุณช่วย เพื่อเห็นแก่คุณป้า ฉันคุยกับคุณลุงแล้ว แน่นอนว่าท่านเห็นด้วยค่ะ”

“โธ่เอ๋ยยายเด็กน้อย แล้วตอนนี้เธอกำลังจะทำอะไรอยู่”

“ทางเว็บแนะนำยาต้านมะเร็งปอดอีกตัวชื่อ ทากริซโซ (Tagrisso) ฉันสั่งซื้อส่วนผสมมาแล้วจากทางอินเตอร์เน็ต คุณต้องช่วยชั่งน้ำหนักส่วนผสมของยาแล้วกรอกใส่แคปซูล ฉันคงทำคนเดียวไม่ได้”

เฉินถอนหายใจแล้วพยักหน้า “เธอนี่ช่างกล้าหาญเหลือเกิน เอาล่ะ ถ้าเราต้องผสมยาเอง ก็ต้องทำให้ถูกวิธี โดยเฉพาะเรื่องความสะอาด เธอเข้าใจนะ”

คืนนั้น เฉินจึงแทบไม่ได้พัก เพราะต้องจัดสถานที่ปรุงยาภายในห้องทำงานเล็กๆ นั้นให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเริ่มชั่งส่วนผสมกรอกใส่แคปซูลสำหรับคนไข้ เมื่อได้แคปซูลยาจำนวนหนึ่ง เขาก็จัดแบ่งใส่ซองพลาสติก สำหรับใช้ได้ราว 7 วัน

“เอาล่ะ นี่เป็นแคปซูลยาทากริซโซ เธอต้องลองให้คุณป้ากิน เสร็จแล้วตรวจเช็กความดันกับชีพจรอัตราการเต้นของหัวใจ สังเกตและสอบถามอาการแพ้ยา จดบันทึกทุกอย่างไว้ แล้วผมจะส่งบันทึกให้เพื่อนที่เป็นหมอช่วยประเมินผลว่าควรใช้ยาต่อไปได้แค่ไหน ส่วนการเช็กเม็ดเลือด เอาไว้เราคิดหาทางอีกที วันนี้คงพอแค่นี้ก่อนนะ”

“โอ้ คุณไม่รู้หรอกว่า เราเป็นหนี้บุญคุณคุณแค่ไหน ไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไง” สาวจุนเอ่ยด้วยน้ำตาคลอ

“ผมเต็มใจช่วยเท่าที่ทำได้ แต่เรื่องนี้เสี่ยงมากนะ ผมหมายถึงคุณป้านั่นแหละที่เสี่ยงสุดๆ”

“นี่เป็นหนทางเดียวค่ะ คุณลุงคุณป้าเข้าใจดี”

 

เฉินรีบกลับไปที่พัก แต่ไม่สามารถนอนได้ เพราะท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว เขากะว่าจะล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปทำงาน แต่เมื่อเช็กข้อความในมือถือ ก็พบว่าเพื่อนได้ส่งรหัสลับที่ให้ระวังตัวสูงสุด ซึ่งใช้ในกรณีที่ตำรวจลับเข้าใกล้ตัวเขาแล้ว

เฉินยังไปทำงานตามปกติ ผ่านไปสี่ห้าวันแล้ว เสี่ยวจุนแวะมาหาที่ทำงานและเอารายงานสุขภาพของป้ามาให้ ซึ่งเฉินก็ได้ส่งไปหารือกับเพื่อนที่เป็นหมอและได้คำตอบว่าทุกอย่างน่าจะเป็นผลดีกับคนไข้ แต่ถ้าให้ดีคงต้องไปโรงพยาบาลเช็กเลือดด้วย เมื่อคุณจางชวนเขาไปกินข้าวเย็นที่บ้าน เขาจึงทำหน้าที่เภสัชกรผสมยาต่อไปก่อน โดยมีเสี่ยวจุนเป็นผู้ช่วย

แต่เมื่อเขาจัดการเรื่องยาเสร็จแล้ว คุณจางกลับเดินเข้าในห้อง และพูดว่า “หนูจุนไปพักก่อนนะ ลุงมีเรื่องจะคุยกับอาเฉินหน่อย อาเฉินมานั่งดื่มชากับลุงในห้องรับแขกก่อนกลับ ลุงชงชาไว้แล้ว”

จุนจึงขอตัวกลับเข้าห้องไป ทั้งคุณจางและเฉินเดินไปนั่งที่เก้าอี้ห้องรับแขก

“ฉันขอบใจเธอมากจริงๆ น่ะอาเฉิน เธอทำให้เรามีความหวังที่จะรักษาป้าเค้าได้อีกระยะหนึ่ง มันมีความหมายมากจริงๆ” ลุงจางพูดด้วยเสียงแหบพร่า

“ผมพยายามทำดีที่สุดครับ” เฉินไม่กล้าที่จะสร้างความหวังให้คุณจางมากกว่านี้

“ฉันมีเรื่องต้องบอกเธอ ตำรวจสองคนที่มาหาฉันวันก่อน เขาต้องการสอบสวนเรื่องผิดกฎหมาย พวกเขากำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ พรุ่งนี้หรืออีกสองสามวัน พวกตำรวจอาจกลับมาอีก เราคงหลบตลอดไปไม่ได้ ถ้าหากเกิดอะไรขึ้น ฉันอยากให้เธอรู้ว่าฉันไม่มีทางเลือกอื่น”

“ผมเข้าใจดีครับ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมรู้ดีว่าทุกอย่างต้องมีความเสี่ยง” เฉินกล่าวตอบ พยายามทำสีหน้าให้ปกติ

“ฉันดีใจที่เธอเข้าใจ แต่พรุ่งนี้ฉันเตรียมเรือไว้แล้ว เป็นเรือประมงของคนที่ฉันรู้จักและไว้ใจได้ เขาจะพาเธอข้ามไปที่ปลอดภัย เมื่อเธอไปถึงที่นั่นแล้ว ถ้ามีโอกาสเหมาะเราคงจะติดต่อหากันอีกที วันนี้เธอกลับไปเก็บของเตรียมเดินทางนะ จะต้องออกเรือแต่เช้ามืดเลย ฉันจะให้คนไปเรียกที่ที่พัก”

เฉินลุกขึ้นยืน ไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่าคำขอบคุณ แล้วรีบเดินกลับที่พัก เก็บเสื้อผ้าและของใช้ซึ่งมีไม่มากนัก คิดทบทวนว่าจะดีกว่าถ้าจะติดต่อกับพวกเพื่อนๆ ภายหลังจากที่ถึงที่หลบภัยแห่งใหม่แล้ว เขาคิดว่าจะนั่งรอจนกว่าคนจะมาเรียกให้ไปลงเรือ แล้วเขาก็หวนคิดถึงบทเพลงที่เพื่อนนักกวีแต่งขึ้น เพื่อให้กลุ่มนักกิจกรรมร้องปลุกขวัญกำลังใจ

“ภูเขาสูงชันเพียงใด เราจะฝ่าข้ามไป

ท้องทะเลมหาสมุทรกว้างไกลแค่ไหน เราจะฝ่าข้ามไป

เพื่อไปถึงฝั่งแห่งชัย ณ ที่ที่ปราศจากความกลัว

ณ ที่ที่ไร้ความหิวโหย หรือความมืดมน

เป็นที่ที่เราร่วมสร้างด้วยสองมือของเรา…”

แล้วเขาก็เผลอหลับไป มารู้สึกตัวเมื่อมีมือมาเขย่าที่ไหล่ เฉินขยับลุกขึ้นทันที กลายเป็นเสี่ยวจุนที่มาปลุก

“ได้เวลาแล้วค่ะ รีบไปกันเถอะ”

เฉินรีบคว้าเป้ขึ้นสะพายไหล่ แล้วก้าวเดินตามเธอออกไป

เมื่อถึงท่าเรือ เขาก็ก้าวลงเรือ เสี่ยวจุนถือกระเป๋ามาด้วย แต่เธอไม่ยอมก้าวตามเขาไป เธอพูดขึ้นว่า

“ลุงจางจะให้ฉันไปกับเธอ แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันทิ้งลุงกับป้าไม่ได้ พี่เฉิน เธอเข้าใจนะ”

เฉินได้แต่พยักหน้า เมื่อเธอยื่นมือออกมา ทั้งสองจับมือกันนิ่งอยู่ คนขับเรือเร่งว่าต้องรีบไป

เสี่ยวจุนปล่อยมือ แล้วผละเดินขึ้นฝั่ง เฉินได้แต่มองดูเธอเป็นเงาสีขาวของเสื้อโค้ตยาวในยามเช้าตรู่

เสี่ยวจุนหันหลังจากท่าเรือเดินช้าๆ ขึ้นไปตามทางเพื่อไปที่หอเผิงไหลเก๋อ พระอาทิตย์กำลังขึ้น เมื่อเธอหันหน้ากลับไปที่ทะเลเพื่อมองหาเรือประมง เธอก็ได้เห็นภาพสะท้อนของตึกรามใหญ่โตลอยกระเพื่อมบนผืนน้ำ เป็นภาพมิราจลวงตาที่ลึกลับ แปลกประหลาด สั่นไหวอยู่ราวภาพนิมิตมายาอยู่ที่ริมขอบฟ้าจรดมหาสมุทร แล้วตอนนั้นเอง เธอก็เห็นเรือยามฝั่งแล่นเปิดไซเรนยาวมุ่งไปที่เรือประมงที่เฉินกำลังยืนมองเธออยู่

 

จดหมายพร้อมห่อของของคุณจางใช้เวลาเนิ่นนานกว่าเฉินจะได้รับ ในจดหมายที่ลงวันที่ของสองปีที่แล้ว เขียนว่า

อาเฉิน

ฉันต้องขอโทษเธอจริงๆ กับเรื่องที่เกิดขึ้น ฉันรู้จากเจ้าของเรือประมงว่าตำรวจยามฝั่งเข้าตรวจค้นเรือประมงเพราะสงสัยว่าอาจมีสินค้าเถื่อนที่ขนเข้าออก แต่ฉันก็โล่งอกว่า ตำรวจไม่พบอะไรและไม่สงสัยเธอ หลังจากนั้น ทางหน่วยเหนือได้สอบสวนฉันในข้อหาว่านำเข้ายารักษามะเร็งผิดกฎหมาย แต่พวกเขายังเห็นใจว่าเป็นการนำเข้าเพื่อรักษาคนในครอบครัว เลยลงโทษแค่ให้ฉันพ้นหน้าที่ ส่วนเสี่ยวจุนก็ถูกข้อหาผสมยาผิดกฎหมายไปด้วย เลยถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง แต่ฉันยังดีใจที่ไม่ลากเธอมาพัวพันกับเรื่องของฉัน

หลังจากฉันออกจากงาน เราก็ย้ายไปอยู่ที่เมืองจี่หนาน ป้าจางอาการหนักลง ไม่มียาวิเศษมาช่วยอีกแล้ว ฉันต้องให้อาเหวินแต่งงานกับเสี่ยวจุน ไม่ใช่เพื่อการไถ่บาปหรอกนะ แต่ฉันต้องให้อาจุนได้รับการดูแล เพราะเธอไม่มีใครอีก อย่างน้อยป้าจางก็ได้เห็นเสี่ยวจุนเป็นฝั่งเป็นฝา และฉันได้ช่วยให้ป้าเขาจากไปอย่างสงบ

ฉันเขียนจดหมายนี้เพื่อแสดงความขอบคุณต่อเธอที่ให้เวลาเพิ่มขึ้นสำหรับคนแก่สองคน และหวังว่าเธอคงมีอนาคตที่รุ่งโรจน์แจ่มใส ฉันจะตามไปพบป้าจางในเร็ววันนี้ ซึ่งเราคงได้เฝ้ามองเธอจากดินแดนอีกฟากหนึ่ง ฉันฝากรูปแปดเซียนข้ามสมุทรมาให้เธอเพื่อเป็นที่ระลึกถึงช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน

ขออวยพรให้เธอมีความสุขสมหวังในทุกสิ่ง

ลุงจาง •