เรื่องสั้น : ขริบ

รถของผมตามหลังคันข้างหน้าห่างๆ ผมนั่งเงียบๆ ในรถข้างคนขับซึ่งก็นิ่งเงียบเช่นเดียวกัน ด้านหลังมีลูกน้องอีก 3 คน หันหลังให้ผมหนึ่ง หันไปทางตะวันออกหนึ่ง และตะวันตกอีกหนึ่ง พวกเขาก็คอยปกป้องผมและปกป้องตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน แต่ละคนยืนนิ่ง กระบอกปืนหันออกจากตัวรถ ไม่มีใครพูดจาสิ่งใดระหว่างที่รถแล่นอยู่บนถนนที่สองข้างทางมีเพียงป่ารายล้อม แดดยามสายของฤดูร้อนในมายอร้อนร้ายไม่ต่างจากที่อื่นๆ ความเงียบสงัดในรถชวนอึดอัดเล็กน้อย เมื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนนลูกรัง รถคันข้างหน้าก็แล่นเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่รถของผมยังคงตามหลังด้วยความเร็วเท่าเดิม

รถของเราเบรกกะทันหัน คนข้างหลังเซระเนระนาด สายตาที่มุ่งตรงของผมนิ่งค้าง เมื่อเกิดเสียงดังกึกก้อง และรถคันข้างหน้าก็ลอยขึ้นสู่อากาศพร้อมฝุ่นสีส้มคละคลุ้ง เศษรถแตกกระจายกำลังลอยลงพร้อมๆ กับฝุ่นที่โรยตัวลงเป็นสาย และร่างที่อยู่ข้างในนั้นกำลังกระจัดกระจายไปตามทิศทางต่างๆ ด้วยแรงระเบิดที่อัดเต็มกำลัง ถ้ามันเป็นดอกไม้ไฟ ผมจะไม่รู้สึกแย่อย่างนี้ แต่ข้างหน้าไม่ใช่ดอกไม้ไฟ ไม่ใช่ฉากในหนัง

ข้างหน้าคือสิ่งที่ผมต้องปกป้อง

ผมเริ่มคิดหนักเมื่อโดนรุกเรื่องเดิมๆ บ่อยครั้ง

“พี่เข้าอิสลามได้ไหม”

เสียงเธอออกจะออดอ้อนนิดหน่อยก็จริง (ไม่ใช่วิสัยปกติของเธอด้วย) แต่ผมไม่อยากให้เธอถามคำถามนี้ จะว่าไป เหมือนเป็นความผิดพลาดของผมเองที่อยากคบหากับเด็กสาวมุสลิมหลังจากคู่หมั้นตัดขาดผมไปจากชีวิตของเธอโดยการแต่งงานกับหนุ่มหน้าที่การงานดีไม่เสี่ยงชีวิตอย่างทหารชายแดนใต้ ผมอ้างว้างอยู่ราวสองปีเศษ หลังจากที่แรกๆ รู้สึกสลดและร้องไห้เมื่อนักข่าวในพื้นที่คนหนึ่งหยอกว่า “ไม่กลัวแฟนทิ้งหรือ มาอยู่ห่างไกลอย่างนี้”

นั่นเป็นการร้องไห้เพราะความรักเป็นครั้งแรกในชีวิต

ใช่ว่าผมไม่เคยอกหัก แต่มั่นใจแล้วว่าจะลงหลักปักฐานกับคู่รักคนนี้ ขอเพียงแค่ลงมาทำงานไม่กี่ปีก็จะได้ย้าย ผู้ใหญ่หลายคนอาจจะช่วยเหลือผมได้บ้าง แต่เมื่อเธอตัดสินใจแต่งงานกับคนอื่น ความคิดเรื่องจะหาเส้นสายย้ายกลับไปประจำการที่เมืองหลวงก็ห่างหายไปจากผมด้วย เดิมทีคิดแต่เพียงว่า ถ้ามีระเบิดสักลูกมาฉีกร่าง ความทรมานก็จะหายไป ตลอดระยะเวลา 7 ปีที่อยู่ที่นี่ผมเพียงแค่เฉียดไปเฉียดมากับระเบิดและกระสุนปืน และได้แต่คอยส่งเพื่อนร่วมรุ่น ส่งลูกน้อง ส่งรุ่นพี่รุ่นน้องบางคนกลับบ้านพร้อมธงชาติคลุมร่างและยศใหม่ที่เขาได้รับ ความเจ็บปวดใหม่เพิ่มพูนขึ้นในหัวใจ จนทุกวันนี้ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องปกป้องอะไรจากอะไร แม้แต่คนทำหน้าที่ปกป้องยังปกป้องตัวเองไม่ได้

เมื่อมาปักหลักอยู่ในค่ายไม่ห่างจากหมู่บ้าน ลูกน้องหลายคนหันไปจีบเด็กสาวมุสลิม ส่วนใหญ่ไม่ติด แม้จะมีข่าวร้ายๆ เกี่ยวกับการจีบเด็กสาวมุสลิมในพื้นที่ให้ได้ยินต่อเนื่อง แต่เรื่องแบบนี้ไม่โดนกับตัวเองไม่มีใครรู้ ไม่มีใครขยาด ทหารบางรุ่นที่ลงมาก่อนผมมีข่าวว่าทำเด็กสาวท้องก็มี บ้างก็ได้ยินว่าข่มขืนจนชาวบ้านเรียกร้องเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ผมไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไรและไม่ได้สนใจมากนัก เพราะในหัวตอนนั้นก็ไม่ได้คิดจะจีบสาวมุสลิมมาเป็นแฟนอยู่แล้ว เมื่อลูกน้องทำท่าจะเกินเลยก็มีการห้ามปรามบ้าง

หลังจากสองปีที่โดดเดี่ยว การลงพื้นที่ไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งทำให้ผมได้พบเธอ คณะผมกับคณะเธอรวมกันราว 20 คนเดินทางไปด้วยกัน ผมไปในฐานะคนปกป้อง ส่วนเธอไปในฐานะพยาบาลผู้ช่วยเหลือแพทย์ที่ทำหน้าที่ขริบ ผมนึกอยากเรียกพวกเธอว่าผู้ชำแหละ ซึ่งจะเรียกเช่นนั้นก็ไม่ผิดนักหรอก วันนั้นชาวบ้านได้จัดงานเลี้ยงและทำพิธีขริบหมู่ให้เด็กชายในช่วงปิดภาคฤดูร้อน ผมไม่กล้าเข้าใกล้พวกเธอมากนัก ได้แต่เดินตรวจตราระแวดระวังอยู่ห่างๆ ภายนอกอาคารข้างมัสยิดที่ถูกดัดแปลงเป็นเรือนผ่าตัดชั่วคราว

ช่วงเช้า หลังจากเด็กชายกลุ่มหนึ่งขี่หลังช้างที่วนเวียนรับ-ส่งมาถึงอาคารครบทุกคนแล้ว นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำศาสนาต่างกล่าวพิธีเปิดจนเสร็จสิ้น เด็กๆ อายุตั้งแต่ 7-12 ขวบราว 50 คนลุกจากเก้าอี้พลาสติก ผมมองดวงหน้าพวกเขาแต่ละคนที่เดินตรงอย่างมุ่งมั่นราวกับนักรบที่พร้อมออกสู่สนาม ดวงหน้าที่ดูแน่วแน่ หยัดนิ่ง และบางรอยยิ้มที่มุมปากราวภาคภูมิกับหน้าที่ของตนนั้นทำให้ผมนึกหวาดหวั่น พวกเขาดูแกร่งเกินเด็ก แต่จู่ๆ เด็กน้อยวัยน่าจะอายุราว 7-8 ขวบสองคนก็เริ่มส่งเสียงร้องออกมาทันทีที่เห็นเพื่อนขึ้นไปนอนบนเตียงสนาม หนึ่งในนั้นตั้งท่าจะวิ่งหนีแต่ก็ถูกเพื่อนๆ พี่ๆ ล้อมจับไว้ อีกคนวิ่งหนีโดยที่เพื่อนดึงผ้าผืนบางลายดอกนั้นออกจากตัวแล้ว เสียงแหกปากร้องลั่นเข้ากระทบโสตประสาทจนรู้สึกเครียด บุหรี่มวนแล้วมวนเล่าถูกจุดขึ้นมาแล้วดับขยี้บนพื้นดินไปเมื่อมันถูกสูบเพียงครึ่งเดียว

บรรยากาศนี้ทำให้ผมนึกถึงสมัยที่ยังเป็นเด็กน้อยเรียนชั้นประถม การฉีดวัคซีนเป็นเรื่องที่ดูจะคอขาดบาดตายมากสำหรับเด็กประถมหนึ่ง ซ้ำยังมีรุ่นพี่ประถมหกมาคอยให้กำลังใจแน่นหนาที่หน้าชั้นเรียนว่าหมอจะเอาเข็มฉีดยาลนไฟแล้วจิ้มลงไปก่อนที่จะสะกิดให้มีเนื้อติดออกมาด้วย เด็กประถมหนึ่งร้องไห้กันจ้าละหวั่น แม้เพื่อนผู้กล้าบางคนยังแอบปีนหน้าต่างห้องเรียนแล้วหนีเข้าไปซุกตัวในร่องผักบุ้งจีนของครูอุดม ผักบุ้งโด่เด่ราบโหรงเหรงเป็นผักบุ้งน้ำ เพื่อนผู้หญิงบางคนเป็นลมกันสามสี่รอบ ทุกอย่างเกิดขึ้นก่อนคณะหมอพยาบาลจะมาเสียด้วยซ้ำ ความหวาดกลัวแผ่ซ่านตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ผ่านความฝันยามค่ำคืน แล้ววิ่งมาหาเมื่อยามเช้า ส่วนผมวิ่งหนีปีนขึ้นต้นหูกวางใบดกหนาในสนามเด็กเล่นข้างห้องเรียนชั้นประถมหนึ่ง คิดว่าไม่มีใครเห็นแล้วทีเดียว แต่ฉี่ที่แทรกซึมผ่านกางเกงก่อนจะหยดติ๋งๆ ลงเบื้องล่างทำให้ครูอุดมสอยผมลงมาจนได้พร้อมบาดแผลที่หัวเข่า เจ็บกว่าเข็มที่จิ้มไหล่เสียอีก เมื่อทุกอย่างผ่านไป เรื่องราวเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ขึ้นมาทันที ยิ่งเมื่อตัดสินใจยึดอาชีพทหาร ผ่านการฝึกอย่างหนัก บาดเจ็บ และเจอเข็มเย็บแผลมาหลายครั้ง ทำให้ผมลืมเรื่องราวสมัยประถมหนึ่งไปเสียสิ้น กระทั่งวันนี้…ตอนนี้ผมยังผุดลุกผุดนั่งกุมเป้าตัวเองแน่น ทิ้งปืนที่จะทำหน้าที่ปกป้องทั้งตัวเองและคนอื่นไว้ข้างตัวโดยไม่ได้นึกอยากแตะต้องมัน

หากเป็นสถานการณ์อื่น อาจจะชวนให้หัวเราะกับเรื่องราวชุลมุนชุลเกวิ่งหนีและไล่จับเด็กน้อยทั้งสอง แต่ตอนนี้ผมหัวเราะไม่ออก เมื่อนึกภาพเห็นทวิวัฒน์น้อยสุดรักสุดหวงจะต้องถูกเฉือน หากเกิดผิดพลาดขึ้นมาจะใช้การได้อย่างไร จะไม่กลายเป็นขันทีทวิวัฒน์หรอกหรือ ผมไม่กล้าแม้แต่จะไปดูว่าเขาขริบกันอย่างไร เพราะเสียงกระจองอแง เสียงเชียร์ให้กำลังใจ เสียงเฮหัวเราะโห่ฮาเหล่านั้นทำให้ประถมหนึ่งเมื่อ 26 ขวบปีที่พ้นผ่านประทับสู่ทรงจำ เพียงแต่เห็นเด็กบางคนที่เสร็จสิ้นกิจแล้วเดินขาถ่างมีพ่อแม่จับจูงอยู่นั้น ขนแขนและผมบนหัวรู้สึกจะตั้งชันขึ้นมา รู้สึกว่าความเจ็บปวดแล่นเป็นริ้วๆ ตามโคนขา ลำตัว

ผมรู้สึกเหมือนเป็นเด็กชายทวิวัฒน์อีกครั้ง…

จนเมื่อใกล้เที่ยง กิจกรรมก็เสร็จสิ้นลง เสียงกระจองอแงของเด็กบางส่วนในบรรดาเด็ก 50 คนนั้นเหลือเพียงกระซิกสะอื้นที่เบาลง เสียงหัวเราะแทนที่ บรรยากาศผ่อนคลายแม้อากาศจะร้อนขึ้น ผมเดินไปกินอาหารที่ชาวบ้านเตรียมไว้พร้อมกับลูกน้อง ระหว่างเดินไปล้างมือนั่นเองที่เธอเฉียดใกล้ผม เสียงเจือหัวเราะแต่ไม่ได้มองหน้า

“บัง–ยังไม่ได้ขริบใช่ไหมล่ะ”

อารามตกใจผมหยุดนิ่งเหมือนใครเอาปืนจี้ท้ายทอย สองมือกุมเป้าอัตโนมัติกลัวเธอเห็นว่ายังไม่ได้ขริบ เธอตั้งใจเน้นคำว่าบังเหมือนเรียกผู้ชายมุสลิมอย่างที่ผมเคยได้ยิน แล้วหัวเราะร่วนเสียงใสกับท่าทางของผมก่อนจะผ่านเลยไปสมทบกับเพื่อนๆ ผมยืดตัวตรง สูดลมหายใจลึกและผ่อนพรืด

ร้ายนักนะ–ผมอดคิดเช่นนั้นไม่ได้

หลังจากเสร็จสิ้นแยกย้ายกันไปผมก็ไม่ได้เจอเธออีกเลย จนสองเดือนต่อมา ลูกน้องคนหนึ่งของผมถูกยิงบาดเจ็บในระหว่างลาดตระเวน ผมได้เจอเธออีกครั้งที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลของอำเภอ คราวนี้เธอไม่ได้หยอกผม ความเร่งรีบและกลิ่นคาวเลือดไม่อำนวยให้เสียงหัวเราะของเธอกังวานออกมา เหตุการณ์ลูกน้องถูกยิงนี่เองที่ร้อยรัดความสัมพันธ์ของเราขึ้น จากการขอเป็นเพื่อนผ่านเฟซบุ๊กเพื่อสอบถามอาการลูกน้องเป็นครั้งคราวยามไม่ได้ไปเยี่ยม จนเมื่อลูกน้องออกจากโรงพยาบาลและย้ายออกจากพื้นที่ไปแล้ว เราก็ยังคุยกันอยู่บ่อยครั้ง และยาวนานขึ้นกว่าเดิม

เกือบปี ผมกับเธอก็ตกลงเป็นแฟนกันโดยที่ไม่มีใครรับรู้เห็นเป็นพยาน เราไม่คุยโทรศัพท์กันนานๆ เจอกันบางครั้งที่โรงพยาบาล งานสัมมนา ออกพื้นที่เยี่ยมชาวบ้าน และร้านอาหารในตัวจังหวัด หรือบางทีก็ไปห้างใหญ่ข้ามจังหวัด–ถ้าวันนั้นเราหยุดตรงกัน

เมื่อเข้าสู่ปีที่ 4 ของการคบหากันนั่นเองที่เธอถามผมเรื่องเข้าอิสลามได้ไหม แรกทีเดียวเธอหยอกผมเรื่องขริบของรักของหวง และยกเรื่องวันแรกที่เราเจอกัน ดูเหมือนเธอจะมีเรื่องนี้ประทับติดความทรงจำ ยังหัวเราะทุกครั้งที่เอ่ยถึง เธอเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์มากสำหรับผม ไม่ได้สวย หรือหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักอะไรเลย หน้าตาธรรมดา ผิวแทนตัดกับสีผิวขาวของผม และความโศกที่ติดตรึงใบหน้านั่นต่างหากที่ดึงดูด ยิ่งเธอหัวเราะเสียงสดใสและเปิดเผย ขัดกับดวงตาโศกนั่นดูมีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่ น่าแปลกที่เธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมคบแล้วไม่นึกถึงเรื่องเซ็กซ์ ไม่ใช่เพราะไม่สันทัดเรื่องนี้ ผมเคยมีแฟนและผ่านเรื่องเซ็กซ์หลายต่อหลายครั้งก่อนจะมาเจอเธอ บวกกับอายุที่มากกว่าเธอถึง 8 ปี ผมก็ไม่น่าจะเป็นหนุ่มพรหมจรรย์อยู่ได้หรอก แต่เรื่องนี้ดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับผมเมื่อคบกับเธอ ตลอดเวลาที่รู้จักกัน ผมจับมือเธอนับครั้งได้ ก็ตอนที่เธอเดินสะดุดท่อระบายน้ำหน้าอาคารฉุกเฉินนั่นครั้งหนึ่ง ผมเป็นคนฉุดเธอให้ลุกยืน และอีกครั้ง เธอเดินชนประตูกระจกหน้าร้านอาหาร ร่างแทบหงายหลังและผมจับศอกเธอ ดันหลังเธอไว้มั่น นั่นที่ผมจำได้ และที่สำคัญ ผมยังไม่ได้เป็นมุสลิม เธอบอกว่ามันสำคัญมากในสังคมบ้านเธอ ถ้าจะแต่งงานกันทั้งหญิงและชายจะต้องศาสนาเดียวกัน–เท่านั้น

แค่เพียงนึกถึงเรื่องต้องขริบอวัยวะสำคัญ ผมก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดในช่องท้องแผ่ขึ้นมา กังวลว่าหากอักเสบคงจะบวมฉุ หลังจากนั้นก็จะฝ่อห่อเหี่ยวและเฉาไป ชีวิตไม่เหมือนกับตกนรกหรอกหรือ ผมเคยถามลูกน้องมุสลิมคนหนึ่งในค่าย มันบอกว่าเจ็บน้อยกว่าถูกยิงหลายเท่านัก และว่า ถ้าขริบแล้วทำให้เสียดสีจนไม่รู้สึกอะไรอีกมันคงไม่มีพี่น้องถึง 10 คนอย่างทุกวันนี้

ก็จริงของมัน…มุสลิมที่นี่ที่เห็น-เกือบทุกครัวเรือนมีลูกอย่างต่ำก็ 5 คน

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ–ผมยังไม่พร้อมสำหรับการเริ่มต้นใหม่ มันจะต่างอะไรกับการต้องอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ในเมื่อเหล้าเบียร์ก็ไม่อาจแตะต้องมันได้อีก

“ถ้าพี่เป็นอิสลาม เป็นแบบชีอะห์ได้ไหม” คิดจะอำเธอเล่น ผมเคยรับฟังเรื่องนิกายนี้จากเธอบางหน เธอบอกว่ากำลังคืบคลานเข้าสู่พื้นที่ นี่นับว่าเป็นหนึ่งเดียวเกี่ยวกับเรื่องศาสนาที่เธอเล่าให้ฟัง ด้วยเรื่องเล่าบางเรื่องนั่นเองที่ทำให้ผมอยากหยอกเธอเล่น แต่ท่าทางเธอไม่พอใจเอามากๆ

“พี่จะบ้าหรือยังไง”

เธอพูดแค่นั้นแล้วก็งอน ผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอิสลาม ตอนเรียนวิชาสังคมเมื่อครั้งขึ้นมัธยมหนึ่ง ผมรู้ว่าศาสนาอิสลามในประเทศไทยมีหลายนิกาย แต่รายละเอียดว่าอย่างไรนั้นไม่อาจจะจดจำมันได้ ก็อย่างที่บอกผมไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับอิสลาม ตลอดระยะเวลาที่เราคบกันเธอไม่เคยบอกและผมก็ไม่ถาม เรื่องที่พูดคุยกันจึงมักเป็นเรื่องราวส่วนตัวที่เกิดขึ้นในอดีต ภารกิจแต่ละวัน อิสลามที่ผมรู้อย่างแรกๆ คือมีเมียได้ 4 คน ห้ามกินหมู ไม่เลี้ยงหมา ไปสุเหร่าวันศุกร์ และไม่ดื่มเหล้าเบียร์

แต่จะว่าไป…เพื่อนผมคนหนึ่งที่เป็นอิสลามก็เคยเมาอยู่บ่อยครั้ง มันไม่เคยแตะต้องหมู ขนาดกินข้าวในโรงอาหารวิทยาลัยมันยังพกจานพลาสติกและช้อนคู่ใจไปโรงอาหารทุกครั้ง กินเสร็จก็หาถุงกร๊อบแกร๊บใส่จานยัดลงกระเป๋า “ที่นี่เขาล้างจานรวมกัน” มันว่าอย่างนั้น ตอนเย็นมันจะกลับไปล้างที่หอ นอกจากมันแล้วในพวกเรา 4 คนที่เหลือไม่มีใครล้างจานชามในหอพัก เพราะฝากพุงกับร้านป้าละไมศรีตรงข้ามหอพัก

และอีกอย่างมันกลัวหมาอย่างสุดจิตสุดใจ ครั้งหนึ่งระหว่างเดินกลับจากวิทยาลัยไปยังหอพักที่เช่าอยู่ด้วยกัน หมาตัวหนึ่งเหยาะย่างผ่านมาใกล้ แต่เจ้าเพื่อนคนนี้มันตกใจเลยวิ่งหนีออกไปเป็นคนแรก เหมือนหมาสัมผัสกลิ่นความกลัวได้ จึงเห่ากระโชกและวิ่งไล่ พรรคพวกจรจัดของมันอีกสาม-สี่ตัววิ่งมาสมทบ ผมกับเพื่อนวิ่งตามแล้วไปเจอเจ้าเพื่อนมุสลิมคนนี้ติดอยู่กึ่งกลางระหว่างผนังหอพักกับเสาไฟฟ้าที่ชิดกัน สูงห่างจากพื้น 2 เมตร หมายืนเห่าเสียงขรม เราจึงหาไม้ใกล้ๆ มาไล่หมาไป เสียงเจ้าหมอนั่นร้องตะโกนให้ช่วยดังลั่นซอย ผมไม่รู้ว่าเขาถีบตัวเองสูงจากพื้นไปอยู่ซอกเล็กแคบนั้นได้อย่างไร ครั้นไล่หมาไปแล้ว มันจะลงไม่ได้เพราะพุงอันยื่นย้วยทำให้ร่างติดแหง็กอยู่ตรงนั้นนานกว่าจะช่วยให้หลุดออกมาได้ กลายเป็นเรื่องกล่าวขวัญกันนานสองนานในหมู่เรา

ส่วนไปสุเหร่า มันไปเฉพาะวันศุกร์ เพื่อนร่วมห้องเคยถาม มันตอบมาว่า

“ไปให้คนเห็นบ้าง” มันว่าอย่างนั้น ผมไม่รู้หรอกว่ามันเป็นอิสลามแบบไหน และไม่ได้สนใจถามด้วยในเมื่อมันเมาพร้อมพวกเรา เราก็ปล่อยเลยตามเลย ขนาดจะเมา มันยังมีหลอดส่วนตัวเพื่อจะได้ดูดจากขวดเดียวกันที่พวกเราซดจากขวด

“พวกมึงกินหมูมา” มันว่าอย่างนั้น

สำหรับเธอก็เช่นเดียวกัน ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นอิสลามแบบไหน เราไม่ได้คุยหรือถกกันเรื่องศาสนา เรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตของเธอเกี่ยวข้องกับศาสนาอยู่แล้ว เมื่อพูดถึงจึงไม่ใช่การพูดเหมือนครูสอนนักเรียน และมักมีน้ำเสียงหยอกเย้าเมื่อถามผมเรื่องเปลี่ยนศาสนา

“เดี๋ยวขริบให้เอง”

เธอมักเอ่ยพร้อมหัวเราะเสียงสดใสทุกคราว ผมก็พลอยไม่คิดว่าเธอจริงจังกับเรื่องนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ประกอบกับเรื่องเล่าชีวิตหลากช่วงวัยที่ผุดพรายผ่านตัวเธอนั้น ชวนให้คิดว่าเธอไม่ได้อยากใช้ชีวิตร่วมกับผม หรือแม้แต่กับใครก็ตาม จึงนึกฉงนใจในบางคราที่เหตุใดเธอรุกถามเรื่องเปลี่ยนศาสนา

เธอกับพี่น้องอีก 6 คนเกิดในครอบครัวที่พ่อแม่เคร่งครัดศาสนา แน่นอนว่าตลอดระยะเวลาที่เราคบกันไม่มีคนในครอบครัวหรือคนในหมู่บ้านรับรู้ความสัมพันธ์ของเรา ความเป็นผู้หญิงเงียบๆ ไม่ค่อยยุ่งกับใคร ชีวิตของเธอค่อนข้างปลอดภัยจากเสียงนินทา มันคงมี–แต่เธอบอกว่าไม่อยากรับฟัง ถ้าไม่รับฟังเธอจะปลอดภัย รวมถึงคนที่พูดนินทาเธอก็จะปลอดภัย

เธอก็เหมือนเด็กมุสลิมทั่วไปในสามจังหวัดชายแดนใต้ เรียนจบจากโรงเรียนศาสนาควบสามัญและเป็นเด็กหอที่พักประจำ

“เป็นเด็กปอเนาะ” เธอบอก

โรงเรียนทำให้เธอโหยหาผู้ชาย ไม่ใช่แค่เพียงเธอหรอก–เธอว่า แต่ในหอพักของเด็กผู้หญิง แทบไม่มีกลุ่มไหนที่ไม่เคยพูดถึงเรื่องการมีสามีในอนาคต บ่อยครั้งไป การพูดถึงผู้ชายหรือสามีในอนาคตมักจะเป็นเรื่องเล่าก่อนนอน บางคนหลับไปพร้อมกับความขวยเขินเพราะช่วงเย็นแอบเห็นเด็กนักเรียนจากฝั่งชายชะเง้อเรียกผ่านประตู เธอเล่าว่าหลายคนถูกจับแต่งงานไประหว่างเรียนนั่นก็มี เพราะแอบไปเที่ยวในช่วงวันหยุดหรือวันกลับบ้านแล้วครูในโรงเรียนจับได้

“แล้วเธอไม่เคยมีแฟนเลยเหรอ”

“มีสิ เคยมี” เธอยิ้ม “แต่เป็นแฟนผู้หญิงนะ”

เธอว่า โรงเรียนประจำแบบนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีเรื่องของหญิงรักหญิง เพื่อนบางคนถูกจับไปแต่งงานกับผู้ชายทันทีที่พ่อแม่รับรู้ เธอยังเคยไปงานแต่งเพื่อนผู้นั้นด้วย พ่อแม่ของเพื่อนไม่รู้หรอกว่าคนไหนเป็นแฟนสาวของลูกสาว แฟนสาวผู้นั้นได้ตามไปเป็นเพื่อนเจ้าสาว และตกดึก ความเงียบทำให้เสียงกระเส่าดังเล็ดลอดออกมาจากห้องจนแม่เพื่อนเคาะประตูห้องนอนแทบไม่ทัน ก่อนจะขับรถพาแฟนสาวของลูกสาวไปส่งที่บ้านกลางดึกคืนนั้นเลย

และก็รอดตัวไปได้ เพราะฝ่ายชายไม่เคยรับรู้เรื่องราวเหล่านี้เลย

เธอบอกว่าที่หนักหนากว่านั้นไม่ใช่เรื่องการถูกจับไปแต่งงานอย่างลับๆ หรอก แต่เป็นเรื่องถูกครูฝ่ายปกครองจับได้ต่างหาก เด็กสาวหลายคู่ถูกสายสืบที่ครูฝ่ายปกครองส่งให้ทำหน้าที่นั้นจับได้และเด็กหญิงสาวทั้งหมดที่ถูกจับได้ต้องออกมาเล่าหน้าแถวว่าคบกับคนไหน ทำอย่างไร และทำอะไรกันบ้าง กว่าจะจบไปแต่ละคู่แต่ละคน เธอฟังจนอาเจียนออกมาในแถว

ก่อนที่ทั้งหมดจะถูกลงโทษกักบริเวณ และมีคนคอยควบคุมทุกฝีก้าว ไปๆ มาๆ นานเข้าคนถูกควบคุมกับคนควบคุมก็หันมาจ๊ะจ๋ากันเองก็มี แม้แต่ครูรองฝ่ายปกครองก็ยังมี–

ส่วนแฟนผู้หญิงที่เธอว่าเคยคบนั้นคบกันได้ไม่นานนัก เมื่อเด็กสาวแสดงท่าทีว่าจะ “เอา” เธอแค่นั้นแหละ กลายเป็นเรื่องราวตบตีข่วนหน้าจนอีกฝ่ายหน้าลายไปหลายวัน และเธอถูกทำโทษตามระเบียบ

ร้ายกว่าที่คิดไว้–ผมอดยิ้มไม่ได้