ตบะ สมาธิ แกร่ง เมื่อเผชิญ ทารกเบญจพิษ อาจหาญ ยืนหยัด

บทความพิเศษ

 

ตบะ สมาธิ แกร่ง

เมื่อเผชิญ ทารกเบญจพิษ

อาจหาญ ยืนหยัด

 

ความตายของทารกเบญจพิษ ความตายของเก็กลักทั้ง (หนอนสุขนิรันดร์) นับว่าสยดสยองอย่างยิ่งอยู่แล้ว แต่ที่น่าสนใจไม่น้อยกลับเป็น “วิธีวิทยา” เพื่อบรรลุการสังหาร

ภาพของ “ทารกเบญจพิษ” ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเป็นอย่างไร

สำนวนแปล ว. ณ เมืองลุง ถอดออกมาได้ว่า เงาร่างคนผู้หนึ่งพุ่งออกมาจากความมืด ร่างของมันเตี้ยแคระดั่งทารก

สวมกระโปรงสั้นตัวหนึ่ง

เผยเห็นเท้าเล็กๆ ทั้งสอง มาตรอยู่ในพายุหิมะที่หนาวเหน็บ ยังไม่รู้สึกหนาวแม้สักน้อยนิด ศีรษะของมันก็เล็กยิ่ง

แต่ดวงตากลับโตใหญ่ดั่งดวงโคม

ตอนนี้ตาทั้งสองของมันคล้ายเปี่ยมประกายหวาดหวั่นและอาฆาตแค้น ถลึงจ้องลี้คิมฮวงแน่วนิ่ง มันคล้ายดังจะกล่าวกระไร แต่ในลำคอมีเพียงเสียงครอก ครอกเท่านั้น

ไม่อาจกล่าวได้เลยแม้สักคำเดียว

 

พลิกไปอ่านสำนวนแปล น.นพรัตน์ ในความมืดบังเกิดเสียงแผดร้องที่กระชั้นสั้น แต่ระคายหูดังขึ้น

จากนั้น คนผู้หนึ่งโถมออกจากความมืด

คนผู้นี้ร่างเตี้ยเล็กราวเด็กน้อยเยาว์วัย บนร่างสวมกระโปรงสั้นตัวหนึ่งเผยเห็นเท้าเล็กๆ ทั้งสองข้าง

มาตรว่าอยู่ท่ามกลางลมหิมะอันเหน็บหนาว ก็ไม่รู้สึกหนาวเย็นแม้แต่น้อย

ศีรษะของคนผู้นี้ก็เล็กยิ่ง ดวงตากลับเรืองรองดุจดวงโคม ยามนี้ในดวงตาคู่นี้คล้ายเปี่ยมแววแตกตื่น พรั่นพรึง

ถลึงมองลี้ชิ้มฮัวอย่างดุดัน

คล้ายคิดกล่าวกระไร แต่ในลำคอเพียงบังเกิดเสียงครอกๆ ไม่อาจกล่าวกระไรแม้สักคำเดียว

แต่ละบรรทัดต่อจากนี้ประหนึ่งเป็นการสดุดี “เซี่ยวลี้ปวยตอ”

 

ซิมไบ๊ไต้ซือพลันพบว่า เซี่ยวลี้ปวยตอเล่มนั้นปักอยู่บนคอหอยมัน พอดีปักอยู่กึ่งกลางคอหอย

เซี่ยวลี้ปวยตอไม่จู่โจมพลาดเป้าจริงๆ

ทารกเบญจพิษรู้สึกมีลมหายใจคำหนึ่งอุดอยู่ที่ลำคอ ไม่อาจทนทานสืบไป ยกมือถอนมีดบินออกมา

มีดบินพอถอนออกมา ทารกเบญจพิษขู่คำรามว่า “มีดอันอำมหิตยิ่ง”

ยามนี้หนอนพิษบนพื้นหิมะเริ่มไต่ขึ้นมายังเท้าของลี้ชิ้มฮัว แต่ลี้ชิ้มฮัวไม่ขยับ ไม่เคลื่อนไหว ซิมไบ๊ไต้ซือก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว

ซิมไบ๊ไต้ซือรู้สึกร่างอ่อนระทวย คล้ายไม่อาจทรงกายมั่น

เซี่ยวลี้ปวยตอแม้ยอดเยี่ยม ไร้ผู้ทัดเทียม แต่ทั้งสองยังคงต้องตกเป็นเหยื่อของเหล่าหนอนพิษ

แต่แล้วทารกเบญจพิษส่งเสียงขู่คำราม

หยาดโลหิตกระเซ็นซ่าน พิษนับร้อยตัวพลันพุ่งขวับกลับไปดุจเกาทัณฑ์ แต่ละตัวเกาะติดกับลำคอของทารกเบญจพิษ

ได้ยินเสียงซ่าๆ ดังไม่ขาดหู

ร่างของทารกเบญจพิษมลายกลายเป็นโครงกระดูกกองหนึ่ง แต่สัตว์พิษเหล่านั้นพอกินเลือดเนื้อของมันลงไปก็ร่วงระทวยกับพื้น ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวอีก

คนผู้นี้อาศัยพิษร้ายสร้างชื่อเสียง ในที่สุด ต้องสังเวยชีวิตใต้สัตว์พิษ

 

ซิมไบ๊ไต้ซือพริ้มตาประนมมือ ร้องสรรเสริญพระพุทธคุณในใจ จนอีกเนิ่นนานให้หลังจึงถอนหายใจยาว

ลืมตามองหน้าลี้คิมฮวงแล้วกล่าว

“ประสกแซ่ลี้ ท่านไม่เพียงมีมีดสั้นเป็นเลิศในพิภพจบแดนเท่านั้น ตบะ สมาธิก็ไม่มีผู้ใดในแผ่นดินทัดเทียมได้จริงๆ”

ลี้คิมฮวงยิ้มพลางกล่าว

“มิกล้า ข้าพเจ้าเพียงแต่คำนวณได้ก่อนว่าหนอนพิษที่กินโลหิตคนเหล่านั้นพอได้กลิ่นคาวเลือดจะต้องหนีไปแน่ ความจริง ข้าพเจ้าก็มีความหวาดกลัวอย่างยิ่ง”

ซิมไบ๊ไต้ซือกล่าวสวนคำ “ประสกท่านก็รู้จักหวาดกลัว”

“นอกจากคนตายแล้ว ผู้ใดในโลกที่มิรู้จักหวาดกลัว” เป็นการยอมรับอย่างแทบไม่มีข้อโต้แย้งจากลี้คิมฮวง

กระนั้น ซิมไบ๊ไต้ซือ ยังถอนใจยาวแล้วกล่าว

“เผชิญอันตรายคับขันไม่หวาดหวั่นวุ่นวาย แม้กลัวแต่ไม่ท้อทอดอาลัย ตบะ สมาธิของประสกท่านอาตมาเลื่อมใสนับถืออย่างจริงใจ”

วาจาหลวงจีนชราแผ่วเบาลงทีละน้อย ในที่สุด ก็ล้มฮวบลงกองกับพื้นหิมะ

 

เป็นอันว่า ไม่ว่าซิมไบ๊ไต้ซือ ไม่ว่าจอมยุทธ์ฉั้งฉิก รวมถึง 4 หลวงจีนแห่งวัดเสียวลิ้มยี่ล้วนตกตายไปทีละคน ทีละคน

เหลือเพียงลี้คิมฮวงอยู่เพียงผู้เดียว

ความยอดเยี่ยมของมีดบินในมือของมัน “ไม่พลาดเป้า” อย่างแท้จริง ประจักษ์พยานก็คือ

สายตาของซิมไบ๊ไต้ซือที่เห็น เซี่ยวลี้ปวยตอถึงกับปักแน่นอยู่ที่คอหอย ปักอยู่กึ่งกลางโดยไม่เบนเบี่ยงแม้สักน้อยนิด

ถึงกับรู้สึก “เซี่ยวลี้ปวยตอ นับว่าไม่เคยผิดเป้าเลยจริงๆ”

ทั้งๆ ที่อยู่ในความมืด ทั้งๆ ที่ไม่ทราบแน่ว่าทารกเบญจพิษดำรงอยู่ตรงจุดใด ณ เบื้องหน้าของพวกมัน

ถามว่าเหตุปัจจัยอันใดทำให้สามารถซัด “มีดบิน” ได้แม่นยำระดับนั้น

คำตอบอยู่ที่คำอธิบายอย่างรวบรัดของซิมไบ๊ไต้ซือ “เผชิญอันตราย คับขัน ไม่หวาดหวั่นวุ่นวาย แม้กลัวแต่ไม่ท้อทอดอาลัย ตบะ สมาธิของประสกท่าน อาตมาเลื่อมใสนับถืออย่างจริงใจ นับถือจนศิโรราบแล้ว”

เป็นคำกล่าวก่อนล้มฮวบลงกองกับพื้นหิมะ

 

ต้องย้อนกลับไปทบทวน “ทีท่า” และ “อาการ” ของลี้ชิ้มฮัวก่อนส่งเสียงหัวร่อดังๆ “ก่อนฟ้าสาง สว่าง ข้าพเจ้าย่อมไม่ตาย แต่ท่านยากจะบอกได้”

เสียงหัวร่อไม่ทันขาดหายพลันได้ยินเสียงเป่าใบไผ่อันประหลาดพิกลดังขึ้น

บนพื้นหิมะพลันปรากฏเงาดำมากมายสุดคณานับ เคลื่อนไหวยุบยับ บ้างใหญ่ บ้างเล็ก บ้างยาว บ้างสั้น ในความมืดดูไม่ออกว่าเป็นวัตถุใด

เพียงสูดได้กลิ่นคาวโชยมากระทบจมูก

น่าสนใจก็ตรงที่ลี้ชิ้มฮัวไม่เพียงไม่กลัวหากยังหัวร่อดังกังวาน “ฟังว่าสัตว์พิษในถ้ำสุขนิรันดร์มีนับพันนับหมื่น ข้าพเจ้าไฉนเพียงพบเห็นตัวหนอนเล็กๆ ไม่กี่ตัว หรือตัวอื่นล้วนตายหมดสิ้นแล้ว”

เสียงเป่าใบไผ่กระชั้นเร่งร้อน เงาดำบนพื้นหิมะรายล้อมลี้ชิ้มฮัวกับซิมไบ๊ไต้ซือไว้

ยามนี้ค่อยได้ยินทารกเบญจพิษหัวร่อคึกคัก “เก็กลักทั้ง (หนอนสุขนิรันดร์) ของเรานี้ ผสมพันธุ์จากสัตว์วิเศษ 7 ชนิด นอกจากเลือดเนื้อแล้วไม่กินอันใดทั้งสิ้น รอจนพวกท่านทั้งหนังทั้งกระดูกตกไปในท้องของพวกมันจะไม่ตำหนิว่าพวกมันตัวเล็กแล้ว”

ไม่ทันกล่าวจบ พลันปรากฏประกายมีดวูบขึ้นแวบหนึ่ง เซี่ยวลี้ปวยตอ (มีดบินของลี้น้อย) ถูกซัดออกแล้ว

 

ความจริง กระบวนท่าของลี้คิมฮวงครั้งนี้ก็แทบไม่แตกต่างไปจากกระบวนท่าเมื่อมันอยู่เบื้องหน้าคนใน “อาภรณ์เขียว”

เพียงแต่เบื้องหน้าคนใน “อาภรณ์เขียว” เป็นเวลากลางวัน

ขณะที่ ณ เบื้องหน้าเป็นเวลากลางคืน อยู่ในห้วงที่เรียกว่า “รุ่งสาง” ก่อนแสงสว่างจากพระอาทิตย์ยามอุทัยจะไขแสง

แต่ที่มันใช้ออกมาเป็น “อาวุธ” กลับเป็น “วาจา”

เป็นวาจาในลักษณะยั่วเย้า เร้าเร่ง จึงไม่เพียงแต่คนใน “อาภรณ์เขียว” จะเปิดเปลือยตัวมันเองออกมา

หากแต่ “ทารกเบญจพิษ” ก็มิอาจอยู่นิ่งเฉย

ขอให้สังเกตว่า ด้านหนึ่ง มันปล่อย “เก็กลักทั้ง” (หนอนสุขนิรันดร์) ออกมาล้อมอยู่โดยรอบ ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง วาจาของมันยิ่งพูดยิ่งยาว

นั่นแหละเข้าทางของลี้คิมฮวงครบถ้วน

นั่นแหละเท่ากับ “ทารกเบญจพิษ” ได้เปิดร่องรอยของมันเองว่าดำรงอยู่ตรงจุดใดภายในความมืด

ขณะเวลานั้นเอง ประกายมีดวูบขึ้นก็หายวับ

หายไปในความมืดเลือนราง แต่ในความมืด กลับมีเสียงแผดร้องที่สั้นกระชั้น แต่เสียดหูเป็นอย่างยิ่งแว่วมา

จากนั้น เงาร่างคนผู้หนึ่งพุ่งออกมาจากเงามืด

 

หากมองผ่าน “กลยุทธ์” การดำเนินของลี้คิมฮวงอาจเรียกได้ว่า เป็นกลยุทธ์ในลักษณะ “โยนหินถามทาง”

ประสานเข้ากับ “ล่อเสือออกจากถ้ำ”

เป็นการดำเนินกลยุทธ์อย่างเยือกเย็นแม้ตระหนักในภัยอันอยู่เบื้องหน้า แต่ก็เผชิญประสบอย่างสุขุมเปี่ยมด้วยคัมภีรภาพ

ดำเนินอย่างสะท้อนถึง ตบะ สมาธิ อันเข้มแข็ง หนักแน่น