โควิดเป็นศูนย์จบ แต่จีนยังต้องเจ็บต่ออีก

(Photo by HECTOR RETAMAL / AFP)

ในที่สุด นโยบายโควิดเป็นศูนย์ ที่จีนดำเนินอย่างเข้มข้นต่อชีวิตประชาชนมากว่า 2 ปี ได้ยุติลงเพื่อไม่ให้การต่อต้านนโยบาย ต้องกลายเป็นการลุกฮือไล่สี จิ้นผิง ผู้นำที่เพิ่งได้รับการรับรองดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 3 ที่มุ่งมั่นจะกระชับอำนาจและต้องไม่เกิดภาพลบของความเป็นผู้นำที่ดำเนินโยบาย “ผิดพลาด”

โดยเฉพาะเหตุการณ์คนงานฟอกซ์คอนน์ในเมืองเฉิงโจวกระโดดหนีจากโรงงานที่ถูกใช้เป็นค่ายกักกัน หรือเหตุไฟไหม้อพาร์ตเมนต์ที่ถูกล็อกดาวน์ของนครอุรุมชีในมณฑลซินเจียงจนมีคนเสียชีวิต 10 ราย และกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ปลุกการประท้วง

แม้ผู้นำจีนจะมุ่งมั่นกับนโยบายของตัวเองมาก และมั่นใจว่าจะคุมการระบาดได้ แต่โควิดเป็นศูนย์ กลายเป็น “ดาบสองคม”

ด้านหนึ่งแม้จะคุมประชาชนไม่ให้ได้รับเชื้อ แต่ได้ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ห่วงโซ่อุปทานเป็นอัมพาต

แล้วพอยุตินโยบายโดยระบบสาธารณสุขยังไม่พร้อมและวัคซีนมีคุณภาพก็ไม่มีให้ฉีด ผลก็คือ การกลับมาติดเชื้อแบบพุ่งทะยาน สร้างความโกลาหลต่อไปอีก

จนมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2023 จะมีชาวจีนติดเชื้อโควิดและเสียชีวิตมากกว่า 1 ล้านคน

ทำให้ปี 2022 เป็นศักราชที่สี จิ้นผิง ยิ้มแย้มกับอำนาจที่มีอยู่ แต่ชาวจีนและประเทศคงยิ้มไม่ออกกับวิกฤตที่เผชิญ

ความสั่นคลอนที่จีนกำลังเผชิญ ไม่ใช่แค่ผลด้านกลับจากนโยบายควบคุมโควิด แต่ยังมีปัญหาภายในที่เกิดขึ้นจากการบริหารงานที่ไม่รัดกุม โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์และธนาคารระดับจุลภาค จนส่งผลลบต่อเศรษฐกิจ แต่แค่โควิดเป็นศูนย์ที่เป็นสิ่งที่กระทบต่อชาวจีนโดยตรงที่สุด และกลายเป็นเรื่องเดียวที่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ประท้วง

แต่จะไปคาดหวังถึงขั้นยกระดับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงถึงระดับโครงสร้างนั้น ยังคงเป็นคำถาม

ทาชิ เซอริง ผู้อำนวยการบริหารของเครือข่ายสิทธิมนุษยชนสำหรับทิเบตและไต้หวัน กล่าวพร้อมตั้งข้อสงสัยว่า แม้การประท้วงจะรุนแรงและเป็นวงกว้าง แต่พวกเขาอาจมอดดับลงหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีการยกเลิกข้อจำกัดบางประการ

“เมื่อฉันได้ยินเกี่ยวกับการประท้วงของนักเรียนที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อ 33 ปีที่แล้ว ฉันคิดว่าจีนจะเปลี่ยนแปลง ฉันโดนทุบตีและติดคุก แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนกลับแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”

(Photo by Jade GAO / AFP)

แม้ดูเหมือนรัฐบาลจีนจะรักษาอำนาจการปกครองประเทศไว้ได้ แต่จีนในตอนนี้และปีหน้าได้ฉายแววความถดถอยขึ้นให้เห็นแล้ว

โรเจอร์ แม็กเชน บรรณาธิการด้านจีนของนิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ ได้วิเคราะห์จีนภายในการนำของสี จิ้นผิง ในสมัยที่ 3 ซึ่งจะรับรองอย่างเป็นทางการในปีหน้า ได้ทำให้จีนเจ็บตัวจนอ่อนแอไปมาก โดยมองว่า สีปรารถนาปรับระเบียบโลกในแบบที่ให้พึงพอใจกับผู้นำเผด็จการ โดยนำเสนอโมเดลแบบเผด็จการสไตล์จีนให้กับชาติตะวันตก และเขามีทรัพยากรมากกว่าผู้นำจีนคนใดในประวัติศาสตร์

แต่จีนได้อ่อนแอกว่าที่เป็นอยู่ ต้องขอบคุณทางเลือกของสี ที่ทำให้ปัญหาในประเทศได้ก่อตัว ผู้ถือหางเสือเรือจะพบว่าตัวเองล่องฝ่าคลื่นอย่างยากลำบากในปีหน้านี้

จีนภายในผู้นำสมัย 3 ต้องเจอสารพัดปัญหาที่เป็นทั้งผลสะสมมานาน และจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากนโยบายของเขาเอง ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม ประชากร และภูมิรัฐศาสตร์โลก ที่ชาติตะวันตกจับมือหลายประเทศล้อมกรอบจีนมากขึ้น

และที่สำคัญ ประเด็นไต้หวันยังคงไม่ละสายตาว่าจีนยังไงก็ต้องใช้กำลังบุกแน่ ทำให้โลกยังคงเผชิญโจทย์ท้าทายนี้ต่อในปีหน้า

แล้วสี จิ้นผิง ในสมัยที่ 3 จะเลือกเดินทางไหนในปีหน้า จากหลายปัจจัยที่ก่อตัว ทางเลือกอาจเหลือไม่กี่ทางนั้นคือ ทำให้ตัวเองเจ็บน้อยลง หรือเลือกถลำลึกให้ตัวเองเจ็บหนักกว่าเดิม