‘เนต้า เอส’ – ‘เออร์ติก้า ไฮบริด’ ‘2 รถ 2 สไตล์’ ในมอเตอร์เอ็กซ์โป

สันติ จิรพรพนิต

กว่าที่ “มติชนสุดสัปดาห์” ฉบับนี้จะวางแผง งานมอเตอร์ เอ็กซ์โป เข้าสู่โค้งสุดท้ายแล้ว เพราะจัดงานระว่างวันที่ 1-12 ธันวาคม 2565

ปีนี้ถือเป็นปีที่รวมพลังรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี รวมถึงรถยนต์พลังงานทางเลือกอย่างมาก เพราะหลายค่ายใหญ่ๆ นำรถพลังงานทางเลือกมาอวดโฉม และเปิดจองกันอย่างคึกคัก

ขณะที่รถยนต์สันดาปภายใน หรือรถที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน-ดีเซล ที่เราคุ้นเคยมาหลายสิบปี ลดน้อยลงอย่างมีนัย

แม้เมื่อเร็วๆ นี้จะมีปัญหากรณีประกันภัยรถยนต์อีวี รุ่นหนึ่งที่เกิดปัญหาค่าซ่อมแบตเตอรี่ราคาแพงเนื่องจากขับรถไปกระแทกใต้ท้องบริเวณแบตเตอรี่ จนบริษัทประกันเสนอคืนทุน เทียบกับรถเสียหายทั้งคัน อย่างไรก็ตาม ต่อมาบริษัทรถยนต์ชี้แจงว่าเข้าใจผิด จนสามารถซ่อมเพียงที่ครอบแบตเตอรี่เท่านั้น

จนต่อมามีข้อเสนอแยกประกันตัวรถยนต์และแบตเตอรี่ออกจากกัน เหมือนโมเดลต่างประเทศ โดยหากแบตเตอรี่เสียหากจากการขับขี่ ผู้เอาประกันอาจต้องร่วมรับผิดชอบค่าเสียหายบางส่วนด้วย

เพื่อไม่ให้ค่าประกันรถยนต์อีวีรายปีแพงเกินไปนั่นเอง

กระนั้น ด้วยกระแสรักษ์โลก และเทรนด์รถอีวี ทำให้รถยนต์อีวี และรถพลังงานทางเลือกอื่นๆ เช่น ไฮบริด ปลั๊กอินไฮบริด ยังอยู่ในความสนใจอย่างมาก

ในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป มีรถหลายหลายรุ่นที่น่าสนใจ ครั้นจะนำมาทั้งหมดคงเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งรถหลายรุ่นเคยนำเสนอไปก่อนล่างหน้าแล้ว

“ยานยนต์ สุดสัปดาห์” จึงนำรถ 2 รุ่นที่น่าสนใจมาเจาะรายละเอียดกัน

เริ่มจากรถรุ่นใหม่ที่นำมาอวดโฉม ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ก็ว่าได้นั่นคือ “เนต้า เอส” (NETA S) รถยนต์ไฟฟ้า สไตล์ sporty smart coupe

เห็นรูปร่างหน้าตาแล้วบอกได้ว่าสวยสะพรึงจริงๆ ไม่ต่างจากรถซูเปอร์คาร์เลย

มี 2 รุ่น คือ Neta S Lidar Version และ Neta S Special Version

ภายนอกเด่นสุดไม่พ้นดีไซน์สปอร์ตคูเป้ประตูคู่หน้าแบบกรรไกร ผลักเฉียงขึ้นด้านบน

ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED ไฟเลี้ยว LED แบบ sequential

ด้วยหลังคา panoramic sunroof ขนาด 1.9 ตารางเมตร ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว

ภายในตกแต่งหรูหราและดูล้ำอนาคต เรียกว่าสูสีกับค่ายเทสลาก็ว่าได้

หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 13.3 นิ้ว หน้าจอ infotainment แบบ ultra thin ขนาด 17.6 นิ้ว และหน้าจอสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าขนาด 12.3 นิ้ว

ลำโพง 21 จุด พร้อมระบบเสียง surround

สะดวกในการขับขี่กับ AR-HUD augmented reality head-up display system

ชิพประมวลผล Snapdragon Chip เจเนอเรชั่นที่ 3 (Qualcomm Snapdragon 8155) รองรับการสื่อสารสัญญาณ 5 G

ระบบสั่งการด้วยเสียง ตอบสนองภายใน 1.8 วินาที

ขุมพลังมาพร้อมระบบช่วยในการขับขี่อัจฉริยะ รุ่น Special Version ให้พละกำลังสูงสุด 340 กิโลวัตต์ หรือ 462 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน-เมตร

ใช้ระบบส่งกำลังแบบมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด พร้อมแบตเตอรี่ lithium-ion ขนาด 91 กิโลวัตต์

อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียง 3.9 วินาที

ระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ พิสัยการขับขี่ไกลถึง 650 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็ม

ส่วนรุ่น Lidar Version มาพร้อม NETA Pilot 4.0 หรือเทียบเท่าระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ Autonomous Driving L4 ที่มีระบบประมวลผล Huawei MDC610 High performance Computing Platform

ระบบช่วยเหลือในการขับขี่สำหรับขับขี่ในเมือง NCP Nezha City Pilot assistance

ระบบช่วยเหลือในการขับขี่เมื่อความเร็วสูง NHP Nezha High-speed Pilot assistance

ระบบจดจำที่จอดรถ NMP Nezha Memory Parking

ระบบเรียกรถอัตโนมัติ NMS Nezha Magic Summon

ระบบช่วยเหลือในการขับขี่ 30 ตำแหน่ง ประกอบด้วย LIDAR 2 ตำแหน่ง

กล้องรอบคัน 11 ตำแหน่ง

เรดาร์แบบ millimeter wave radar 5 ตำแหน่ง และเรดาร์แบบอัลตราโซนิค 12 ตำแหน่ง

ใครที่สนใจอาจต้องร้องเพลงรอไปก่อน เพราะงานนี้แค่นำมาโชว์ว่าเนต้า มีเทคโนโลยีและรถเจ๋งๆ เหมือนกัน

ส่วนรถอีกรุ่นที่น่าสนใจในงานยกให้ “ซูซูกิ เออร์ติก้า สมาร์ทไฮบริด” (NEW SUZUKI ERTIGA SMART HYBRID)

เออร์ติก้า เป็นรถครอบครัว 7 ที่นั่ง เปิดตัวออกมาพักใหญ่แล้ว

ผมเคยทดลองขับและเสนอในยานยนต์ สุดสัปดาห์ เช่นกัน

ถือว่าเป็นรถครอบครัวที่น่าสนใจ แม้ออปชั่นต่างๆ จะไม่หวือหวามากนัก เพราะด้วยต้องการทำราคาเพื่อสู้ศึกกลุ่มรถครอบครัวนั่นเอง

มาครานี้ซูซูกิส่งรุ่นเครื่องยนต์ทางเลือกมาให้กลุ่มรักษ์โลกจับจอง

ภาพลักษณ์ภายนอกใกล้เคียงกับรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน

กระจังหน้าโครเมียมดีไซน์ใหม่ ไฟหน้าโปรเจ็กเตอร์ มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น GuideMe 2 ฟังก์ชั่น คือ

“To Home” สำหรับส่องสว่างเวลาดับเครื่องยนต์แล้วมีไฟนำทางให้เดินเข้าบ้าน

“To Car” ระบบไฟส่องสว่าง เมื่อเรากดปลดล็อกกุญแจ ไฟจะติดช่วยเป็นแสงส่องสว่างนำทางมาที่รถ

ไฟท้าย LED แบบ Light Guides และสัญลักษณ์ Hybrid ที่บริเวณประตูด้านท้าย

กระจกมองข้างพับออโต้ (Auto Retractable Outside Mirror)

เสาอากาศแบบใหม่ ล้ออะลูมิเนียมอัลลอยแบบทูโทน ขนาด 15 นิ้ว

ภายในบริเวณคอนโซลด้านหน้าและแผงประตูสีดำตกแต่งลายไม้สีเทา

พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นทรง D-Shape พร้อมปุ่มควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ปุ่มควบคุมเครื่องเสียง และปุ่มควบคุมระบบสั่งการโทรศัพท์บนพวงมาลัย

มาตรวัดพร้อมจอ LCD แสดงพลังงานแบตเตอรี่ และสถานะข้อมูลสำคัญของตัวรถ

อาทิ ข้อมูลการขับขี่ Driving G-Force พร้อมอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง

เชื่อมต่อกับความบันเทิงในทุกเส้นทางด้วยจอแสดงผลระบบสัมผัส ขนาด 10 นิ้ว ฟังก์ชั่นเอนเตอร์เทนเมนต์ เครื่องเล่นวิทยุ MP3 และ WMA พร้อมระบบเชื่อมต่อ Bluetooth และระบบเชื่อมต่อสมาร์ตโฟน สามารถรองรับการใช้งาน USB และ HDMI

แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย และช่องจ่ายไฟสำรอง 12V จำนวน 2 ตำแหน่ง

ช่องวางเครื่องดื่ม 8 ตำแหน่งพร้อมช่องเป่าลมเย็นบริเวณคอนโซลกลาง และเย็นสบายอย่างทั่วถึงด้วยระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลังสะดวกสบายตลอดการเดินทาง

ที่นั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง พร้อมฟังก์ชั่นการปรับพับเบาะที่หลากหลาย

เครื่องยนต์ยังเป็นเบนซิน 4 สูบ รหัส K15B ขนาด 1.5 ลิตร 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 138 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบต่อนาที

เสริมด้วยระบบ ISG(Integrated Starter Generator Mild Hybrid) เข้ามาช่วยทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ Lithium-ion 6Ah 12V เป็นแรงเสริมให้กับการทำงานของเครื่องยนต์

เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ลูกเดิม

แม้แบตเตอรี่ลูกไม่ใหญ่นักแต่ถือว่าเข้ามาเสริมกำลังการขับขี่ในเมืองได้ดี ส่วนนอกเมืองหากใช้ความเร็งจัดๆ ใช้พลังจากเครื่องยนต์ล้วนๆ

กระนั้น ทำให้อัตราการซดน้ำมันในภาพรวมดีขึ้นจาก 15.9 กิโลเมตร/ลิตร เป็น 17.9 กิโลเมตร/ลิตร

เออร์ติก้า สมาร์ทไฮบริด มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย

GL ราคา 783,000 บาท

GX ราคา 839,000 บาท •

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]