กิติมา อมรทัต ไรน่าน อรุณรังษี สองปัญญาชนมุสลิมร่วมสมัย (18) | จรัญ มะลูลีม

จรัญ มะลูลีม

มุมมุสลิม | จรัญ มะลูลีม

 

กิติมา อมรทัต

ไรน่าน อรุณรังษี

สองปัญญาชนมุสลิมร่วมสมัย (18)

 

กิติมา อมรทัต กับงานเขียนและงานแปลว่าด้วยโลกมุสลิม (ต่อ)

อารยธรรมตะวันตกอิสลามและมุสลิม

ธรรมชาติอันซับซ้อนของอารยธรรมตะวันตกนี้ได้ทำให้ปัญหามีมากขึ้น เพราะความสำคัญและความยุ่งยากของมัน มันได้เพิ่มความลำบากลำบนให้แก่โลกอิสลามเป็นอย่างมากและท้าทายต่ออัจฉริยภาพของผู้นำและนักปรัชญาของโลกอิสลามด้วยการท้าทายที่ทั้งรีบด่วนและแข็งแกร่ง

ปัญหานี้อาจแก้ไขได้สามทางเท่านั้น

ทางแรกคือทางปฏิเสธ ซึ่งหมายถึงโลกมุสลิมจะต้องไม่ยอมรับเอาอารยธรรมตะวันตกทั้งหมด ต้องปฏิเสธไม่รับเอาสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมตะวันตก โดยไม่ต้องสนใจที่จะถามว่าในนั้นมีอะไรดีหรืออะไรเลวบ้าง

หรืออีกอย่างหนึ่งคือเราจะถือคติเป็นกลางไม่สนใจ และไม่เข้าข้างไหนไม่ว่าสนับสนุนหรือคัดค้านอะไรทั้งนั้น

โลกอิสลามควรจะหน่วงเหนี่ยวตัวเองอย่างเข้มงวดในการที่จะรับเอาผลของวัฒนธรรมและอารยธรรมที่ตะวันตกให้ไว้มาใช้แม้กระทั่งแขนงความรู้วิทยาการที่คนตะวันตกถือว่าเขามีเอกสิทธิ์อยู่ด้วย

ยกตัวอย่างเช่น วิทยาการด้านวัตถุ ควรจะถือว่าวิทยาการเหล่านี้เป็นเรื่องต้องห้าม และต้องทำตัวอยู่ห่างจากสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ เครื่องจักรเครื่องยนต์กลไกและสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตอย่างอื่นๆ ซึ่งมีกำเนิดมาจากโลกตะวันตกด้วย

อย่างไรก็ตาม ทัศนคติเช่นนี้จะให้ผลก็แต่ความล้าหลังยิ่งขึ้นของโลกมุสลิม และจะทำให้มันอยู่โดดเดี่ยวจากกระแสแห่งกาลเวลาส่วนใหญ่เท่านั้นเอง

มันจะทำให้ตัดประเทศอิสลามต่างๆ ออกจากโลกภายนอกและจะลดฐานะประเทศต่างๆ เหล่านั้นลงเป็นเพียงเกาะหลายๆ เกาะที่มีกำแพงล้อมรอบและอยู่ห่างจากชีวิต

พูดสั้นๆ ก็คือมันจะเป็นการต่อต้านธรรมชาติวิสัยของมนุษย์ ซึ่งล้วนแต่ไม่เป็นการถูกต้องและเป็นไปไม่ได้ด้วย

 

การที่จะใช้วิธีการปฏิเสธหรือไม่ยอมรับนั้นพูดอีกนัยหนึ่งก็คือความโง่เขลาและสายตาสั้นอย่างชัดๆ โครงสร้างความคิดเช่นนี้รังแต่จะทำให้ความสามารถของมนุษย์หรือของชุมชนต้องพิการไป แล้วมันยังขัดต่อสปิริตของอิสลามอีกด้วย

อิสลามในฐานะที่เป็นศาสนา “ธรรมชาติ” นั้นได้เน้นอย่างยิ่งในเรื่องการแสวงหาความรู้และรบเร้ามนุษย์ให้แสวงหาผลประโยชน์ของความรู้สาขาต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ให้เต็มที่ เรียกร้องให้ผู้ถือศาสนาช่วยกันปกปักษ์ศรัทธาและสร้างสมความแข็งแกร่งขึ้นให้มากเพื่อจะได้กั้นความทะเยอทะยานอันชั่วร้ายของศัตรูแห่งสัจธรรมและผู้แสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวเองคนอื่นๆ ดังที่พระคัมภีร์กุรอานได้กล่าวไว้ว่า

แท้จริงในการสร้างชั้นฟ้า และแผ่นดินและการสับเปลี่ยนของกลางคืนและกลางวันนั้นล้วนเป็นนานาสัญลักษณ์สำหรับบรรดาผู้มีวิจารณญาณ

(พวกเขา) เป็นเหล่าชนที่รำลึกถึงอัลลอฮ์ทั้งในยามยืน ยามนั่งและ (ยามนอน) บนสีข้างของพวกเขา และพวกเขาวิเคราะห์ในการกำเนิดแห่งชั้นฟ้าและแผ่นดิน (จนบรรลุสู่สัจธรรมและประจักษ์ในความมหัศจรรย์ถึงกับรำพึงว่า) โอ้องค์อภิบาลของเราพระองค์มิได้สร้างสิ่งนี้อย่างไร้สาระ มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ ดังนั้น โปรดปกป้องเรา (ให้พ้น) การลงโทษแห่งไฟนรกด้วยเถิด (อาลิ อิมรอน 190-191)

และเจ้าทั้งหลายจงเตรียมไว้ (เพื่อการรับมือ) กับพวกเขา (ข้าศึก) เท่าที่พวกเจ้ามีความสามารถไม่ว่าจะเป็นกำลังรบและการผูกม้า ซึ่งเจ้าทั้งหลายจะนำมันมาขู่ศัตรูของอัลลอฮ์และศัตรูของพวกเจ้า และบรรดาคนอื่นๆ นอกจากพวกเขาอีก ซึ่งพวกเจ้าไม่รู้จักพวกนั้น และอัลลอฮ์ทรงรู้จักพวกนั้น (เป็นอันดี) และไม่ว่าสิ่งใดๆ ก็ตามที่พวกเจ้าทั้งหลายใช้จ่ายไปในทางของอัลลอฮ์ พระองค์ย่อมตอบแทนพวกเจ้าอย่างครบถ้วน โดยพวกเจ้าไม่ถูกฉ้อฉลเลย

เช่นเดียวกันหะดีษ (คำสอน) ของท่านนบีก็กล่าวไว้ว่าความรู้คือทรัพย์สมบัติที่สูญเสียไปของมุสลิม เมื่อไรที่มันถูกค้นพบเมื่อนั้นมันย่อมเป็นของเขา (ติรมิชี)

อิสลามรบเร้ามนุษย์ในฐานที่เป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าในโลกนี้ซึ่งบรรดาพื้นโลกและสรวงสวรรค์ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ กลางวันและกลางคืนได้ถูกมอบให้ พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงจัดหาทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้ให้แก่มนุษย์ในการอาศัยอยู่ในโลกนี้ ยกตัวอย่างเช่น กุรอานได้ประกาศว่าการที่พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างธาตุเหล็กขึ้นมานั้นก็คือ ความโปรดปรานอย่างหนึ่งที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ “ในนั้นมีพลังงานอันแข็งขันและประโยชน์หลายอย่าง” (กุรอาน : อายะห์อัล-ฮาดิ๊ด : 25)

 

ท่านนบีก็ได้ยกตัวอย่างของท่านเองขึ้นมาสอนสาวกของท่านถึงความสำคัญของการตระเตรียมกำลังทหารไว้ให้พรักพร้อมในกิจการทางโลก

เมื่อนครมะดีนะฮ์ถูกพวกนอกศาสนาล้อมในระหว่างการสู้รบที่อะห์ซาบนั้น ท่านนบีได้ขุดสนามเพลาะด้วยมือของท่านเอง เพื่อกีดกันข้าศึกไม่ให้รุกล้ำเข้ามาตามแบบฉบับของพวกอิหร่าน

หลังจากท่านนบี บรรดาผู้นำและผู้มีความรู้ในวิชาหลักกฎหมายในโลกมุสลิมต่างก็ดำเนินรอยตามทางเดียวกัน พวกเขาก้าวไปทันกาลเวลาและพยายามที่จะก้าวล้ำหน้าชาติอื่นๆ ในการปลูกฝังความเข้มแข็งและในการผลิตและใช้อาวุธ และในวิชาการแขนงอื่นๆ อีกด้วย บางครั้งพวกเขาก็ได้ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้นำของโลกในเรื่องต่างๆ เหล่านี้

ประเทศที่หันหลังให้การท้าทายของอารยธรรมแผนใหม่ด้วยการหดหัวเข้าไปในเปลือกของมัน และปิดความคิดจิตใจของมันเสียจากความเปลี่ยนแปลงอันทรงพลังทั้งหลายที่เกิดขึ้นรอบๆ นั้นย่อมไม่มีอนาคตในเรื่องเหล่านั้นเลย มันไม่สามารถกระทั่งแต่จะรักษาความสงบภายในประเทศและความปลอดภัยไว้ได้นานนัก มันจะต้องถูกฉีกทึ้งอย่างไม่หยุดหย่อนด้วยความขัดแย้งภายใน

การขัดขืนและแข็งข้อของประเทศเช่นนั้นย่อมจะมีความโชคร้ายและความทุกข์เป็นผลของการที่เดินตามทางที่ขัดต่อกฎธรรมชาติ และจะได้รับแต่ความระส่ำระสายและความพินาศ ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่เคยมองไปข้างหลัง และก็ทนต่อความว่างเปล่าไม่ได้ มันต้องมองไปข้างหน้าเสมอและต้องเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

มันไม่เคยเหน็ดเหนื่อยหรือหยุดชงักหรือหลีกทางให้แก่ความสิ้นหวัง มันไม่มีวันที่จะพักนิ่ง และความกระหายของมันก็ไม่เคยอิ่ม มันจะคอยเฝ้ารอมองหาสิ่งใหม่ๆ แปลกๆ อยู่เสมอ

การผจญภัยนั้นอยู่ในสายเลือดของมนุษย์ มันเชื่อในการต่อสู้ดิ้นรนอยู่เสมอ และเชื่อในความพยายามที่ไม่เคยบรรเทาหยุดยั้ง มันใฝ่หาความก้าวหน้าและความสูงส่งขึ้นไปสู่ความรุ่งเรืองใหม่ๆ และที่ใหม่ขึ้นไปอีกอยู่ตลอดเวลา

 

ทัศนคติแบบปฏิเสธและถอนตัวออกจึงไร้ผลโดยสิ้นเชิง ในที่สุดก็ย่อมจะใช้ไม่ได้ มันไม่สามารถจะผนึกกำลังชุมชนขึ้นต่อต้านกับแรงกดดันอันมีมากขึ้นของอารยธรรมสมัยใหม่ได้ และมันก็ไม่สามารถจะกั้นกระแสแห่งอารยธรรมตะวันตกนั้น ซึ่งในขั้นแรกจะไหลซึมเข้ามาตามรอยรั่วครั้นแล้วก็ไหลบ่าเข้ามาท่วมท้นทันทีลงบนรอยแตกเสียแล้วนั้นได้

เมื่อใดก็ตามที่ประเทศอิสลามประเทศหนึ่งประเทศใดพยายามที่จะหาทางป้องกันตัวจากการเข่นฆ่าของอารยธรรมสมัยใหม่ด้วยการเก็บตัวเองอยู่ต่างหากและหลีกเลี่ยง แม้กระทั่งจากสิ่งที่มีคุณประโยชน์ที่โลกตะวันตกเสนอมาให้ อย่างเช่น ในวงการวิทยาการสมัยใหม่และการประดิษฐ์ค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นโดยไม่ผิดเพี้ยนเลยว่าไม่มีประโยชน์

ระยะเวลาของการเก็บตัวอย่างโดดเดี่ยวของมันปรากฏว่าไม่ได้ผลอะไรขึ้นมามากไปกว่าการปรากฏเป็นบทบาทสั้นๆ อันหนึ่งในประวัติศาสตร์เท่านั้น

กระแสแห่งอารยธรรมตะวันตก (ซึ่งไหลบ่ามาอย่างลึกล้ำ และแทรกซึมเข้าไปในรากฐานของสังคมและก่อความวุ่นวาย โกลาหลให้กับคุณค่าด้านศีลธรรมและมาตรฐานทั้งหลาย) ก็ยังพัดมาอย่างไม่หยุดยั้งอยู่ต่อไปรบกวนความสงบสุข และภาพของความรุ่งเรืองที่ไม่เกี่ยวข้องกับมัน)

ใครก็ตามที่ประจักษ์ถึงลักษณะอันแผ่ไพศาลรุนแรงและเอาชนะทุกสิ่งของอารยธรรมตะวันตกและรู้ด้วยว่าประเทศตะวันออกเจริญเติบโตขึ้นอย่างกลวงโบ๋แค่ไหนทั้งในด้านวัตถุและจิตใจ ย่อมพร้อมที่จะยอมรับว่าทัศนคติของการก่อกำแพงกั้นตัวเองของประเทศเหล่านี้ และการแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวของประเทศเหล่านี้นั้น ย่อมไม่สามารถจะทนทานมันได้ ไม่มีชาติใดสามารถจะรักษาความเป็นตัวเองซึ่งขาดศรัทธาในตัวเอง และเต็มไปด้วยปมด้อยและได้รับทุกข์ทรมานจากความเน่าเปื่อยผุพังและต่ำทรามทางจิตใจไว้ได้

ความพากเพียรพยายามทั้งหมดของมันที่จะต่อต้านกับอารยธรรม อันมีพลังซึ่งได้กลายเป็นแนวสำคัญในกาลสมัยนั้นย่อมจะต้องไร้ผลไปในที่สุด