คอลัมน์ประจำ

อสังหาฯ รายใหญ่โตไม่หยุด

ที่มามติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 25 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2565
คอลัมน์ก่อสร้างและที่ดิน
เผยแพร่

อสังหาฯ รายใหญ่โตไม่หยุด

 

ผลประกอบการ 37 บมจ.อสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 9 เดือนแรกหรือจบไตรมาส 3 ของปี 2565 ตัวเลขออกมาแล้ว แสดงให้เห็นว่าธุรกิจอสังหาฯ ยังคงเติบโตต่อไปไม่หยุด โดยเฉพาะอสังหาฯ รายใหญ่ผู้นำตลาด

37 บมจ. 9 เดือนแรก มียอดรายได้รวม 2.3 แสนล้านบาท เติบโต 10% เทียบกับปีที่แล้ว และมีกำไร 3.3 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 28% เทียบกับปีที่แล้ว

หากดูเฉพาะ Top10 ผู้นำตลาด 10 รายแรก ก็พบว่ามียอดรายได้ 1.7 แสนล้านบาท และกำไร 3.0 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 77% และ 90% ของยอดรวม 37 บมจ.อสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ

แค่เปรียบเทียบกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยกัน ก็จะเห็นความแตกต่างรายได้และกำไรที่ห่างกันมากอย่างเห็นได้ชัดเจน ไม่ต้องพูดถึงบริษัทอสังหาฯ นอกตลาดหลักทรัพย์ฯ หากนำมาเปรียบเทียบกับก็ยิ่งจะเห็นความห่างนี้มากกว่านี้

 

เหตุที่เป็นเช่นนี้ เห็นได้ง่ายๆ ว่า เร็วๆ นี้โครงการบ้านแบรนด์หรูระดับราคาแพง 35-85 ล้านบาท ทำเลสุขุมวิท-ศรีนครินทร์ เปิดตัววันเดียวก็ประกาศ sold out ขายหมด เดือนก่อนหน้านี้แบรนด์หรูอีกรายหนึ่งเปิดโครงการใหม่ย่านถนนกรุงเทพฯ กรีฑาตัดใหม่ระดับราคาประมาณเดียวกันก็ sold out เฟสแรกไปอย่างรวดเร็วแบบนี้

เพราะกำลังซื้อผู้มีรายได้สูง ยังคงมีความต้องการ มีกำลังซื้อที่แข็งแรง จึงทำให้อสังหาฯ รายใหญ่ที่มีแบรนด์บ้านหรูที่ได้รับความนิยมจากตลาด สามารถสร้างยอดขายทำกำไรอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แม้จะอยู่ระหว่างเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ดีนัก เพิ่งเริ่มมีการฟื้นตัวก็ตาม

อนาคตแม้กำลังซื้อตลาดบนจะมีจำนวนไม่มาก แต่การที่ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก เชื่อว่าความต้องการที่พักอาศัยระดับหรูหราจากต่างประเทศยังจะเกิดตามมาอีกมาก

ตลาดบนแบรนด์หรูก็คงต่อยอดไปได้อีก

รวมทั้งความพร้อมด้านเงินทุน ต้นทุนการเงินที่ต่ำ ทีมงานที่พร้อมกว่าของอสังหาฯรายใหญ่ ดังนั้น ก็คาดได้ไม่ยากว่า ความต่างหรือช่วงห่างระหว่างอสังหาฯ รายใหญ่ผู้นำตลาดกับอสังหาฯ อื่นๆ น่าจะถ่างกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ส่วนตลาดกลางและตลาดล่างที่มีกำลังซื้อเป็นคนส่วนใหญ่ที่มีรายได้ประจำเป็นเงินเดือนนั้น ต้องรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การจ้างงานและการเพิ่มค่าจ้างเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง

เรื่องความแตกต่างเช่นนี้ ในทางธุรกิจเรียกว่า เป็นความสามารถในการแข่งขัน อันนี้ว่ากันไม่ได้

แต่ในทางเศรษฐกิจสังคม เขาเรียกว่า เป็นความเหลื่อมล้ำ เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นปัญหาของกฎกติกา เมื่ออำนาจทางการเมืองกระจุก ดอกผลทางเศรษฐกิจก็ไม่กระจาย และความเหลื่อมล้ำก็ตามมา •

 

ก่อสร้างและที่ดิน | นาย ต.