แม่น้ำแห่งการสาบสูญ | ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด : รตี รติธรณ

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด | รตี รติธรณ

แม่น้ำแห่งการสาบสูญ

 

ว่ากันว่า…แม่น้ำสายนั้นมักกลืนกินทุกสิ่งให้สูญหาย ว่ากันว่าทั้งใหญ่และเล็กมักไม่เหลือร่องรอย

บ้างว่าการเตเป็นแม่น้ำต้องคำสาป แต่บางคนกลับเชื่อว่ามันคือของขวัญจากพระเป็นเจ้า…

ไม่ว่าเสียงเล่าลือจะพูดถึงมันอย่างไร แต่ฉันก็มาถึงแล้ว… ริมฝั่งที่สายน้ำขุ่นข้นเชี่ยวกราก ในใจปรารถนาให้บางสิ่งสาบสูญ

 

-1-

ฉันสะดุ้งตื่นอีกแล้วเพราะเสียงที่แผดก้องนั่น ระหว่างที่หอบหายใจก็ค่อยนึกทบทวน ไม่รู้ว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง หรือใครร้อง ไม่แน่ใจ… แต่มันแผดลั่นจนแสบหู และกระชากฉันออกจากห้วงฝันอันอนธการ

พลไม่อยู่ที่นี่ เขาไม่ได้อยู่บนเตียง ไม่แม้จะปรากฏตัวแวบๆ ในห้องใดๆ ของบ้าน ตั้งแต่ทะเลาะกันรุนแรงในวันนั้น แต่นั่นก็ดีแล้ว เพราะการอยู่ของเขามักหมายถึงรอยเขียวช้ำบนตัวฉัน

แม่ไม่เคยชอบพล แต่เมื่อฉันยืนยันว่า “รัก” จึงไม่มีใครขัดขวาง แม่บอกว่าความรักก็เหมือนโปรโมชั่นของเครือข่ายโทรศัพท์ ช่วงแรกก็ดูแลเราเป็นอย่างดี โทร.ฟรีแถมมีโบนัสให้ จนกระทั่งล่วงเลยเข้าสู่ห้วงเวลาที่มั่นใจว่าลูกค้าจะติดใจ จึงยกเลิกสิทธิพิเศษ… กลายเป็นคนธรรมดาที่ติดอยู่กับความหวาดกลัวของคำข่มขู่ว่าจะตีจาก ทุกสิ่งที่ดีที่สุดยกประเคนให้ แต่เท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พอ สุดท้ายเมื่อไม่สมอารมณ์เขา เข่าก็มา ฝ่ามือก็มา และบ่อยครั้งที่ไม่รู้ว่าร่องรอยบวมโนเกิดจากการถูกปะทะกับอวัยวะส่วนใด ฟื้นขึ้นก็ดำเนินชีวิตต่อไป เช็ดน้ำตาแล้วบอกตัวเองว่าลืมเสีย… ชีวิตน้อยๆ ที่เพิ่งอุบัติในครรภ์ต้องมีพ่อ ความอดทนเท่านั้นที่จะทำให้ครอบครัวอยู่รอด

แม่ไม่เคยพูดอะไร แต่รู้ว่าท่านแอบร้องไห้ทุกคืน เพราะน้ำตาที่หลั่งรินมันกัดกินเนื้อที่แก้มจนเป็นร่องลึกยาว

 

-2-

ความทุกข์กับความสุขผลัดกันขึ้นและลงเหมือนชิงช้า ไม่เคยมีชิงช้าใดนิ่งค้างอยู่ตรงจุดสูงสุดของการแกว่งไกวได้ตลอดกาล… ชั่วคราวแล้วลงเป็นเรื่องธรรมดา ชีวิตของผู้คนก็เช่นกัน ขึ้นและลง ทุกข์แล้วสุข ทุกข์ให้สุด สุขให้สุด ทุกข์ให้หมดจะได้สุขบ้าง

เป็นครั้งแรกที่แม่บอกให้เลิกกับเขา ในวันที่กรามหัก… ฉันส่งยิ้มแบบบิดเบี้ยวให้แม่

“ไม่เป็นไร เขาแค่เมา”

แม่คงรู้ว่าความรักของชายผู้นั้นหมดโปรโมชั่นไปนานแล้ว แต่ที่อดทนอยู่เพราะความรักต่อสิ่งใหม่ที่กำลังถือกำเนิดขึ้นต่างหาก

“สมัยนี้แม่เลี้ยงเดี่ยวมีออกเยอะแยะ งานการก็มีทำจะทนรองมือรองเท้ามันไปทำไม”

ฉันยิ้มอีกครั้ง เจ็บแปลบทั่วใบหน้า น่าแปลก… บาดแผลที่ใบหน้าแต่กลับร้าวลึกถึงหัวใจ ไม่อาจสรรหาคำตอบที่เหมาะสมให้แม่ในวันนั้น ไม่รู้เพราะอะไร

วันถัดมา… พลยังหายไป การตั้งคำถามไม่ใช่สิ่งดี การโทรหาก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน ยิ่งมีจำนวนสายที่ไม่ได้รับปรากฏบนหน้าจอของเขามากเท่าไหร่ ความซวยอาจมาเยือน

วันถัดมา และถัดมา… พลก็ยังไม่กลับบ้าน แม่ไม่ได้เร่งรัดให้ติดตาม ตรงกันข้ามท่านดูพออกพอใจที่ทุกตารางนิ้วในบ้านว่างจากเงาของเขา

“เราออกไปข้างนอกกันไหม?” น้ำเสียงของแม่ฟังดูร่าเริง

“แม่อยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ?” ขณะที่เสียงของฉันยังคงแหบแห้ง

“แม่ได้ยินมาว่าไม่ไกลจากบ้านเรามีแม่น้ำสายหนึ่งที่สวยงาม และมีเรื่องเล่าน่าสนใจ” แววตาของแม่มีประกายราวกับมีเรื่องตื่นเต้น

นานมาแล้วที่เราสองคนไม่ได้ออกไปไหนด้วยกัน ภาพทรงจำในวัยเยาว์หวนกลับมาฉายซ้ำในชั่วครู่… แม่มักจูงมือฉันไว้แน่น ขณะที่เด็กหญิงตัวน้อยในขณะนั้นพยายามดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากการยุดยื้อ พอหลุดไปได้ก็วิ่งปร๋อไปที่ชิงช้า กระโดดขึ้นนั่งและแกว่งขึ้นลงด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ชิงช้าเป็นของโปรดสำหรับฉันเสมอ ตอนที่ขึ้นสูงสุดมันให้ความรู้สึกเสียวจี๊ด ยิ่งตอนที่ถูกผลักไสกลับมาด้วยแรงที่มองไม่เห็นยิ่งสนุกกว่า มันกลวงโบ๋เหมือนอวัยวะภายในร่วงหายไป จำได้ว่าตอนนั้นฉันจะหัวเราะเสียงดังลั่น

ความเปลือยเปล่าจากทุกข์ เป็นพรที่เด็กๆ มักได้รับจากสวรรค์… และเมื่อเติบโตขึ้นก็ทำได้แค่อมยิ้มยามนึกถึง

“ไปไหนก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่แม่” ยิ้มบางที่ส่งให้ยังเจือปนเจ็บปวด

“ไปกันเลยดีไหม… แม่ว่าวันนี้เป็นวันที่ดี” น้ำเสียงของแม่เหมือนซุกซ่อนความหมาย

ฉันเก็บของสองสามอย่างใส่กระเป๋าถือ ก่อนจะคว้ากุญแจรถและเร้นตัวออกจากบ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่อยากลืม วันนี้คงเป็นวันดีอย่างที่แม่ว่าจริงๆ บ้านในละแวกนั้นล้วนปิดเงียบ ใครๆ คงไม่อยากอยากอยู่บ้านในช่วงหยุดยาว

 

-3-

ชีวิตเหมือนสายน้ำหรือเปล่า ในวันที่เชี่ยวกรากมักขุ่นข้น ในค่ำคืนที่มืดมิดมักเยียบเย็น ในคราวที่ทุกข์สาหัสน้ำตามักรินไหลเหมือนสายน้ำ

แม่น้ำสายนั้นสวยงามและร่มรื่นดีจริง จามจุรีใหญ่ร่มครึ้มอยู่ตรงส่วนโค้งของลำน้ำ เรือนยอดของมันครึ่งหนึ่งเผื่อแผ่ไปถึงบางส่วนของผิวน้ำ แต่ตลิ่งค่อนข้างชัน มีร่องรอยถูกกัดกร่อนจนทรุดตัว… แม่บอกว่าการเตเป็นแม่น้ำต้องคำสาป ความกราดเกรี้ยวของมันกลืนกินทุกอย่างจนสูญหาย สิ่งที่จมลงไปมักไม่ได้คืน

“ยายของหนูเคยบอกว่า นอกจากสิ่งของที่ถูกโยนลงไปจะหายสาบสูญแล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับของชิ้นนั้นจะพลอยหายไปด้วย”

ฉันไม่อยากเชื่อ แต่น่าสนใจ… จะดีแค่ไหนหากหัวใจของฉันกลับไปว่างเปล่าเช่นเดิม การรักคนผิดไม่ต่างจากการเดินทางสู่นรกขุมที่ลึกที่สุด เหมือนยอมจมน้ำตายทั้งที่ว่ายน้ำเป็น

“แม่รู้จักที่นี่มาก่อนหรือ?” รอยยิ้มของแม่แห้งแล้ง และดูแก่เฒ่าขึ้นอีกหลายปีในชั่วนาทีนั้น

“ไม่มีใครเคยรู้จักการเตโดยแท้จริง เรื่องราวเกินครึ่งถูกปรุงแต่งจนยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง” แม่หยุดอยู่แค่นั้น ราวกับกำลังกู้ไฟล์ข้อมูลที่หายไปจากทรงจำให้กลับมา

“แล้วมันมีความจริงอยู่บ้างไหมคะ?”

“นิทานบางเรื่องก็เล่ามาจากเรื่องจริง”

แววตาของแม่ซุกซ่อนบางอย่างไว้เป็นแน่ แต่แม่ไม่เคยเอ่ยปาก จะไม่มีสิ่งใดหลุดจากปากหากผู้หญิงคนนี้ปฏิญาณว่าจะไม่แพร่งพราย

“หนูว่าเราควรทดลอง” ยิ้มคราวนี้กว้างกว่าเก่า แก้มยังคงตึงๆ จากบาดแผล

 

-4-

นํ้าตาเป็นสิ่งแปลก มันรับบทบาทแสดงอารมณ์ได้ทั้งสองแบบ บางคนหลั่งมันเพื่อความสุข แต่สำหรับฉัน… น้ำตาหมายถึงทุกข์โศกเท่านั้น

แม่รีบวิ่งมาดูเพราะเสียงโอ้กอ้าก อาเจียนไม่ใช่เรื่องแปลกของคนแพ้ท้อง แต่ที่น่าตกใจคืออาการเจ็บจี๊ดตรงท้องน้อยทุกครั้งที่เกร็ง รอยพาดยาวตรงนั้นเริ่มเป็นสีม่วง แม่ไม่ไว้ใจ…

ฉันลังเลไม่อยากไปต่อคิวที่โรงพยาบาล และไม่อยากตอบคำถามของหมอ แต่ทันทีที่ของเหลวอุ่นๆ หนืดๆ ไหลลงตรงต้นขา น้ำตาก็หลั่งริน โลกเริ่มมืดลงตอนที่เสียงไซเรนของรถฉุกเฉินดังใกล้เข้ามา แต่เสียงแม่ร้องไห้ดังกว่าเสียงใดๆ

อีกสามวันถัดมาฉันก็ได้กลับบ้าน ตัวเปล่าและลำพัง ชีวิตใหม่ยังไม่ทันลืมตาดูโลกก็ต้องลาจากเพราะแข้งของผู้เป็นพ่อ หมอบอกว่ารกฉีกขาดและมีเลือดออกในช่องท้อง ไม่มีคำพูดใดที่สามารถบอกเล่าอารมณ์ของผู้สูญเสีย

หลังจากร้องไห้อยู่หนึ่งสัปดาห์เต็ม ฉันก็เช็ดน้ำตา เป็นครั้งแรกที่แววตาคู่นั้นวาวโรจน์ด้วยความสาสมใจ เป็นครั้งแรกที่รู้ว่าฉันตัดสินใจถูกต้อง

 

-5-

ความทุกข์เหมือนสายน้ำ… ยามกระโชกเชี่ยวจะพร้อมทำลายทุกอย่างให้พินาศ ความทุกข์ต่างจากสายน้ำ… กระแสธารไม่เคยไหลย้อนกลับมา ผ่านแล้วก็เลยไป ทุกข์มีแต่หมุนเวียนซ้ำซาก ราวกับจะข่มขู่มนุษย์ให้คอยระมัดระวังตัว

ฉันระวังแล้ว แต่ขาแข้งที่อ่อนแรงทำให้ก้าวพลาด ดีที่มือแข็งแรงของแม่ยึดต้นแขนไว้ได้ทัน ใต้ร่มจามจุรีใหญ่ร้างผู้คนตอนพลบค่ำ แต่รากไม้ระเกะระกะอาจทำให้พลาดสะดุดล้มได้ง่าย

ริมฝั่งแม่น้ำที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าของผู้ทุกข์โศก ผู้หญิงคนเดิมคนเดียวในชีวิตยังยืนข้างฉันเสมอ… ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล แม่ไม่เคยปล่อยให้คลาดสายตา ความซึมเศร้าของฉันอาจพรากบางสิ่งไปจากท่านได้อีก

หลังจากตัดสินใจอยู่ไม่นาน… ฉันก็เลือกจี้เพชรสีชมพูรูปหัวใจ และโดยไม่ลังเล ฉันขว้างมันออกไปสุดแรง เสียงมวลน้ำอันทรงพลังกลบเสียงจมหายของวัตถุขนาดเล็ก… จี้อันนั้นสวยและมีราคาก็จริง แต่ช่างไร้ค่า

ผู้ที่ให้กระชากมันขาดเป็นสองท่อนเมื่อหลายเดือนก่อนตอนมีปากเสียง ฉันบอกเขาว่าท้อง แต่พลไม่อยากเก็บลูกของตัวเองเอาไว้ อ้างว่ายังไม่พร้อม ตอนจบของฉากนั้นเหมือนในละครน้ำเน่าทั่วไป เขากระชากสร้อยเส้นนั้นจนขาดท่อน

เขากระชากสร้อยเส้นนั้นออกจากคอของฉันอย่างง่ายดาย เหมือนกับตอนที่กระชากเอาความรักคืนไปจากอก และเมื่อจี้อันนั้นไร้ค่าเสียแล้วจะร้อยมันไว้กับสิ่งใดก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ… ครั้งนี้มันคงพร้อมสำหรับการสาบสูญ

บางทีของที่มีคราบความทรงจำเลวๆ ควรกลับไปอยู่กับเจ้าของเดิมดีที่สุด… กลับไปอยู่กับร่างของเขาที่จมอยู่ใต้กระแสน้ำขุ่นข้นนั่น

แววตาวาวโรจน์ด้วยความสาสมใจ ขณะที่เฝ้ามองจี้อันนั้นหมุนวนและจมหาย… ป่านนี้ชิ้นส่วนของพลคงยังเหลือไม่มาก แม้อาการเจ็บแปลบยังกวนใจ แต่ฉันไม่สน… ตรงริมฝั่งที่สายน้ำขุ่นเชี่ยว ในใจปรารถนาให้ความทรงจำถึงชายผู้นั้นสาบสูญ จี้เพชรสีชมพูเป็นยึดโยงสุดท้ายระหว่างเรา… เสียงแผดลั่นจากฝันแว่วเข้าหู และเรื่องราวก็พรั่งพรู

คืนนั้นเขากลับดึกกว่าปกติ ตีสามเป็นเวลาที่สมควรตั้งคำถาม กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้ง รอยลิปสติกที่ปกเสื้อและต้นคอทำให้ฉันแทบคลั่ง

“พี่ควรให้เกียรติแม่บ้าง อย่างน้อยที่นี่ก็บ้านของท่าน”

คำตอบคือฝ่ามือที่ปะทะเข้าที่กราม ฉันได้ยินเสียงดังกร๊อบและเริ่มชาทั้งใบหน้า แม่วิ่งเข้ามาตอนที่แข้งซ้ายฟาดเข้าที่ท้องน้อย

เสียงร้องห้ามของแม่ดังลั่น แต่ร่างทรงซาตานไม่ได้หยุดฟัง ยังคงกระหน่ำประเคนทั้งมือและตีนลงที่ฉัน

“ไอ้ระยำ มึงออกไปจากบ้านกูเดี๋ยวนี้” แม้ตัวจะเล็กกว่า แต่แม่ทุ่มทั้งตัวผลักชายร่างสูงใหญ่จนเซ

“ได้… แต่กูจะเอาอีแพรไปด้วย” กลิ่นเหล้าคลุ้งจากทุกคำพูดของเขา

“มึงจะไปตายห่าที่ไหนก็เชิญ แต่จะเอาลูกกูไปไม่ได้”

ไม่ทันที่ลูกเขยจะทันได้เอ่ยตอบ ร่างนั้นก็ล้มลงกองบนพื้นอย่างง่ายดาย ร่วงผล็อยเหมือนใบไม้แห้งที่ปลิดขั้วบอกลากิ่งก้าน

ปืนกระบอกนั้นแผดลั่นเหมือนเสียงกรีดร้องของสัตว์เจ็บปวด มันยังคงดังอยู่ในความฝันแทบทุกคืน

เราซ่อนศพไว้ในห้องเก็บของอยู่หลายวัน จนกระทั่งวันที่แม่ยืนยันว่าเป็นวันที่ดี ช่วงหยุดยาวที่ข้างบ้านไร้คน ร่างของพลจึงถูกเคลื่อนย้ายไปยังแม่น้ำ

การเตยามพลบค่ำมักร้างผู้คนเช่นเดียวกับค่ำคืนนี้ ร่างไร้ลมหายใจถูกโยนลงท่ามกลางเชี่ยวกรากของกระแสน้ำ ฉันมองดูอดีตสามีค่อยๆ ถูกกลืนหายโดยดำมืดของผิวน้ำ…

ขณะเพ่งมองจี้เพชรที่กำลังหมุนวนและจมหาย ฉันก็มั่นใจว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ความเสียใจเดียวที่มีในตอนนี้คือไม่ได้สับเขาเป็นชิ้นๆ ก่อนโยนลงไปในแม่น้ำ แต่อย่างไรก็คงไม่มีเวลาขนาดนั้น

แม่ยังคงยืนยิ้มอยู่ข้างๆ ดูพึงพอใจที่โยงใยสุดท้ายถูกทิ้งเหมือนไร้ค่า…

 

-6-

แม่ไม่ได้บอกว่าอะไรคือความลับที่แม่โยนลงไปในแม่น้ำนั่น แต่ก็เดาได้ไม่ยาก…

พ่อมักจะทุบตีแม่และฉันเสมอเมื่อเมามาย แต่เมื่อสิ้นเสียงกรีดร้องในคืนนั้น พ่อก็หายตัวไปตลอดกาล

การเตต้องคำสาปจริงอย่างที่ใครเขาว่า ทุกสิ่งที่โยนลงไปจะถูกกลืนหายไร้ผู้พบเจอ เรื่องที่ว่ากันว่าความทรงจำเกี่ยวกับของสิ่งนั้นจะพลอยลบเลือนไปด้วยก็อาจเป็นจริง แม่ไม่เคยพูดถึงพ่ออีกเลย ชายผู้นั้นราวกับไม่เคยมีตัวตนสำหรับพวกเรา และเรื่องราวของเขาไม่เคยมีจริง…

อีกไม่นานเรื่องของพลก็คงไม่ต่างกัน •