เรียกหาสงครามยาเสพติด | วงค์ ตาวัน

วงค์ ตาวัน

ชกคาดเชือก | วงค์ ตาวัน

 

เรียกหาสงครามยาเสพติด

 

โศกนาฏกรรมหนองบัวลำภู เหตุสังหารหมู่ 37 ศพ ทำให้เกิดข้อเรียกร้องจากทั่วทั้งสังคมไทย ว่าเมื่อไหร่รัฐบาลจะแก้ปัญหายาเสพติด และปัญหาอาวุธปืน ที่เป็นภัยใหญ่ในยุคปัจจุบัน และมีให้เห็นกันเกลื่อนกลาด ทั้งยาบ้า และทั้งปืน

เนื่องจากอดีตตำรวจยศ ส.ต.อ.ผู้ก่อเหตุนั้น มีประวัติพัวพันกับการเสพยา จนถูกสำนักงานตำรวจแห่งชาติไล่ออกจากราชการ แต่ยังสามารถมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองต่อไป ด้วยเป็นปืนที่ใช้เงินส่วนตัวซื้อมาผ่านระบบสวัสดิการตำรวจ

เมื่อคนในเครื่องแบบคลั่ง แล้วก่อเหตุกราดยิง ทำให้คนทั้งสังคมตั้งคำถามว่า เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมานี้เอง เพิ่งเกิดเหตุสยดสยอง จ่าทหารคลั่ง ยิงผู้บังคับบัญชาและทหารในหน่วย จากนั้นออกมาไล่ยิงคนไปทั่วเมืองโคราช ไปจนถึงไล่ฆ่ากลางห้างสรรพสินค้ากลางเมือง

จนมาเกิดเหตุอดีตตำรวจคลั่งอีก ซึ่งด้านหนึ่งป่าวประจานให้เห็นว่า ไม่มีการสรุปบทเรียนอะไรเลย กับการใช้อาวุธปืนก่อเหตุยิงกราด

ยิ่งเป็นรัฐบาลยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยนายกฯ เพิ่งรอดพ้นคดี 8 ปี ได้กลับมาทำหน้าที่นายกฯ อีกครั้ง ท่ามกลางอารมณ์ความรู้สึกของชาวบ้านที่รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และยังพบว่าตลอด 8 ปีที่เป็นนายกฯ มานั้น ไม่เคยมีไอเดียยกระดับการแก้ปัญหาใหญ่ๆ ให้เห็นมาเลย

เรื่องยาบ้าและปืน จึงเกิดเสียงเรียกร้องและตั้งข้อสงสัยว่า รัฐบาลนี้จะทำได้จริงหรือไม่

ทำเอา พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเรียกประชุมเพื่อระดมแนวทางแก้ปัญหา พร้อมกับมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตำรวจ มหาดไทย ปปส. สาธารณสุข ไปร่วมมือกันสะสางเรื่องยาเสพติด และทบทวนเรื่องปืนครั้งใหญ่

ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดมหาดไทย ได้จัดประชุมร่วมมือกัน เพื่อใช้กลไกของทั้งสองหน่วยงานดำเนินการแก้ปัญหายาเสพติดและอาวุธปืน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงราชการ ทหาร ตำรวจ คนมีปืนทั้งหลายต้องตรวจสอบผู้ติดยาที่อยู่ในเครื่องแบบ เพื่อสกรีนออกไป

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ มีคำสั่งถึงตำรวจทุกหน่วย นำโครงการตำรวจสีขาวออกมาใช้ตรวจตำรวจทุกระดับชั้น ตรวจยากันจริงจัง โดยกำชับตำรวจระดับหัวหน้าหน่วย ถ้าไม่เอาใจใส่จะมีผลต่อการแต่งตั้งโยกย้ายระดับ พ.ต.อ.ลงไปถึง พ.ต.ต. ที่ใกล้จะทำบัญชีเร็วๆ นี้อีกด้วย

ในด้านอาวุธปืนต้องสืบสวนพฤติกรรมผู้ครอบครองอาวุธปืน หากมีใครที่มีพฤติกรรมอันตราย ต้องนำเสนอให้นายทะเบียนถอนใบอนุญาต โดยเฉพาะข้าราชการที่ถูกออกหรือเกษียณอายุ โดยเฉพาะตำรวจทหารที่มักมีปืนในครอบครอง จะต้องตรวจสอบให้หนัก

ต่อไปนี้ใครยื่นขอใบอนุญาตมีปืน จะต้องกลั่นกรองละเอียด ต้องมีการตรวจอาการทางจิตประกอบด้วย

ดูแล้วมีความคึกคักจริงจังมากขึ้น เพียงแต่ต้องจับตากันระยะยาว ไม่ใช่แค่จริงจังในระยะนี้ ก่อนกลายเป็นเรื่องผักชีหรือไฟไหม้ฟางไปอีก

การแก้ปัญหายาเสพติดถือเป็นจุดอ่อนของรัฐบาลประยุทธ์ ตลอด 8 ปีที่เป็นนายกฯ ไม่มีการยกระดับเพื่อหยุดยาเสพติดอย่างเป็นรูปธรรม มีเพียงแค่การสั่งการให้ตำรวจ ทหาร ปปส. เร่งจับกุม ซึ่งในทางปฏิบัติการสืบจับปราบปรามยาเสพติดก็ยังทำงานกันจริงจัง จับกุมรายใหญ่ๆ ระดับเกินล้านเม็ดมีบ่อยๆ

แต่ก็ไม่ได้ทำให้ยาเสพติดลดลงไป เพราะมาตรการสืบจับเป็นเรื่องปลายทาง โดยรัฐบาลจะต้องคิดแก้ปัญหาระดับต้นทาง

การสกัดกั้นตั้งแต่แหล่งผลิต จากประเทศเพื่อนบ้าน ต้องจับมือกับรัฐบาลประเทศอื่นๆ เพื่อทลายถึงต้นตอ การตรวจตราเข้มข้นด้านชายแดน เส้นทางลำเลียง ไปจนถึงการกวาดล้างระดับตัวการใหญ่ๆ เอเย่นต์รายยักษ์ๆ

ที่ผ่านมาเพียงแค่ให้ไล่จับพวกค้ายาระดับกลางหรือปลายแถว โดยดักจับกันระหว่างจะส่งถึงปลายทาง จับได้เท่าไหร่ ฝ่ายผู้ผลิตก็เพิ่มการผลิตส่งมาใหม่อีกมากเท่านั้น

จับมากเท่าไหร่ ยาเสพติดก็ไม่ได้หดหายลงไป

ผลงานปราบยาเสพติดจึงไม่มีอะไรเด่นชัดในยุครัฐประยุทธ์ แถมยังระบาดหนัก มีขายกันมากขึ้น โดยชี้วัดได้จากราคาจำหน่าย ที่ปัจจุบันถูกแสนถูก เนื่องจากมีสินค้ามากมาย ราคาก็ยิ่งลดกระหน่ำ

มีการเทียบตัวเลขราคายาบ้า โดยในยุคทักษิณที่เปิดสงครามยาเสพติด ทำให้ยาบ้าหายไปแทบเป็นปลิดทิ้ง จนราคาพุ่งไปถึงเม็ดละ 400 บาท

แต่เนื่องจากสงครามยาเสพติดของทักษิณถูกวิจารณ์หนักในด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะมีผู้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับยา แต่ถูกยัดชื่อใส่แล้วเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง

จากนั้นไม่มีการปราบหนัก หรือไม่มีการล้มตายของพ่อค้ายาเกิดขึ้นอีก ยาบ้าก็ค่อยๆ กลับมาอีก ราคาเริ่มปรับตัวลงเหลือเม็ดละ 200 กว่าบาท

แต่มาในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่ปี 2557 สถานการณ์ยาบ้าเริ่มระบาดหนักขึ้น ที่น่าตกใจคือ 8 ปีของประยุทธ์ มาจนถึงวันนี้ ราคาเหลือแค่ 4 เม็ดร้อยบาท

ด้วยผลพวงจากเหตุการณ์คลั่งฆ่า 37 ศพ ทำให้รัฐบาลถูกจี้ไชอย่างหนัก ตอนนี้ก็เริ่มขยับประกาศสงครามยาเสพติดรอบใหม่ แต่ก็ยังไม่ถึงกับเข้มข้นเท่ายุคทักษิณ เพราะกลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์

แต่นั่นยิ่งทำให้ทักษิณเป็นที่พูดถึงในหมู่ประชาชนว่า แก้ปัญหายาเสพติดได้ผลจริง

 

ภาพเปรียบเทียบสำคัญของรัฐบาลประยุทธ์กับทักษิณก็คือ วิสัยทัศน์ทันโลก ไอเดียใหม่ๆ และการกล้าคิดแก้ปัญหาแบบฉีกกฎเกณฑ์เดิมๆ ซึ่งจะพบว่าทักษิณทำได้หลายเรื่อง ต่างจากรัฐบาลอดีตนายพลเอกที่อยู่ในรั้วกองทัพมาทั้งชีวิต

ในปี 2546 รัฐบาลทักษิณประกาศสงครามยาเสพติด ไฟเขียวให้ใช้มาตรการเด็ดขาด ประกาศใช้สงครามแตกหักกับการค้ายา ตำรวจทั่วประเทศขึ้นบัญชีดำนักค้ายา พร้อมกับออกสืบจับเข้มข้น

สงครามยาเสพติดยุคทักษิณใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน มีคนตายไปกว่า 2 พันศพ โดยเป็นมาตรการจับตายจากตำรวจจำนวนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นการเสียชีวิตของนักค้ายาเสพติดที่ตำรวจระบุว่า เป็นการฆ่าตัดตอนกันเองในหมู่ผู้ค้ายา เพราะกลัวการสืบสาวของตำรวจ และกลัวการวิสามัญฆาตกรรม

แน่นอนว่า การฆ่าตัดตอนกันเอง ทำให้ไม่มีผู้ต้องหา ต่างกับการจับตาย ซึ่งตำรวจชุดจับกุมจะต้องตกเป็นผู้ต้องหา แล้วต้องไปพิสูจน์ในศาลว่า ผู้ถูกจับตายมีการกระทำผิดชัดเจน และตำรวจต้องกระทำวิสามัญฆาตกรรมเพื่อป้องกันตนเอง

ขณะเดียวกันมีจำนวนหนึ่งที่เกิดการร้องเรียนว่า ถูกฆ่าตัดตอนทั้งที่ไม่เกี่ยวกับยาเสพติด ลักษณะเป็นเหยื่อที่ผิดพลาดจากนโยบายสงครามยาเสพติด

รัฐบาลทักษิณถูกวิพากษ์วิจารณ์หนัก ว่าสงครามยาเสพติดเข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชน ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางต่อต้าน แต่ชนล่างกลับชื่นชอบ โดยเห็นด้วยว่า หลายคนก็นักค้ายาในชุมชนแน่นอน เมื่อตายไปได้ก็สมควรแล้ว ทำนองนั้น

แต่ที่แน่ๆ ท่ามกลางเสียงโจมตีการใช้อำนาจและความรุนแรง ผลที่ตามมา ซึ่งทำให้ประชาชนชั้นล่างชอบใจกันมากคือ ยาบ้าหายไปจากสังคมไทยแทบหมดสิ้น หาซื้อได้ยาก จากที่ลูกหลานติดกันงอมแงม ซึ่งได้แทบทุกซอกซอย กลายเป็นหาซื้อไม่ได้ ราคาขายพุ่งไปถึงเม็ดละ 40 บาท

ผลก็คือ ในวันนี้ หลังเหตุการณ์ 37 ศพหนองบัวลำภู สู่มาตรการกวาดล้างยาเสพติดครั้งใหญ่

ประชาชนจำนวนมากกลับเรียกหาทักษิณและสงครามยาเสพติด

ทางเดียวที่รัฐบาลประยุทธ์จะทำให้คนลืมทักษิณในเรื่องยาเสพติดได้ ก็คือ การสืบสวนจับกุมที่กำลังโหมลงมือขณะนี้ ต้องทำให้ได้ผลจริง และนุ่มนวลกว่าทักษิณ

จะทำได้หรือไม่ โปรดติดตาม!?!