“พิชัย” ห่วง “ประยุทธ์” รอดแล้ว แต่วิกฤตศก.จะรุนแรงจนคนไทยไม่รอด แนะเลิกผูกขาด-วางมือก่อนพัง

“พิชัย” ห่วง “ประยุทธ์” รอดแล้ว แต่คนไทยจะไม่รอด ชี้ สถานการณ์เศรษฐกิจจะรุนแรงเกินความรู้ความสามารถ ยิ่งกู้มากยิ่งเจ๊งมาก แนะ เลิกการผูกขาดทุกชนิด และ วางมือก่อนชาติเสียหายหนักกว่านี้

 

วันที่ 4 ตุลาคม 2565 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ ด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้พลเอกประยุทธ์ ได้ดำรงตำแหน่งต่อ ทั้งที่อยู่ในตำแหน่งมา 8 ปีแล้ว สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนจำนวนมาก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าถ้านับตั้งแต่ปี 2560 แล้ว ระหว่างปี 2557 ถึง 2560 พลเอกประยุทธ์ เป็นอะไร นอกจากนี้ ตลอดเวลา 8 ปีมี่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยย่ำแย่มาตลอด รายได้ประชาชนลดต่ำลง เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมาก หนี้สินเพิ่มขึ้นมาก คนจนเพิ่มขึ้นมาก ราคาพลังงานทั้ง น้ำมัน ก๊าซ และ ไฟฟ้าพุ่งขึ้นสูง ข้าวของแพง ค่าแรงงานถูก ค้าขายย่ำแย่ หนี้เสียพุ่ง คนตกงานมาก คนฆ่าตัวตายสูงสุด ความสามารถแข่งขันของประเทศลด มีทุจริตคอรัปชั่นกันมากตามดัชนีชี้วัดสากล

ขนาดปัญหาน้ำท่วมในปัจจุบันยังไม่มีการรับมือ แก้ไขช่วยเหลือประชาชนเลย คิดได้แค่จะใช้วิทยุทรานซิสเตอร์แค่นั้น แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาพลเอกประยุทธ์กลับคิดว่าตนเองทำได้ดี ประเทศก้าวหน้าทั้งที่ประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้าไปหมดไม่ว่ามาเลเซียที่เป็นประเทศรายได้สูงไปแล้ว หรือเวียดนามที่การส่งออกแซงไทยไป 50% แล้วเป็นต้น ดังนั้นแม้พลเอกประยุทธ์จะรอดแต่คนไทยน่าจะไม่รอดแน่ถ้าเป็นแบบนี้

นอกจากนี้การปล่อยให้มีการผูกขาดเป็นปัญหาหลักของประเทศนี้ ขนาด World Economic Forum (WEF) จัดไทยอยู่อันดับที่ 104 จาก 138 ประเทศ ในด้านการกระจายอำนาจในตลาดสินค้าและบริการ (Extent of Market Dominance) และอยู่อันดับที่ 62 ในด้านประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า (Effectiveness of Anti-Monopoly Policy) ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยปล่อยให้มีการผูกขาดของนายทุนรายใหญ่กันมาก และ การบังคับใข้ดฎหมายในเรื่องป้องกันการผูกขาดยังมีประสิทธิภาพที่ต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อยไม่สามารถพัฒนาก้าวขึ้นเป็นรายใหญ่ได้เพราะถูกปิดกั้น ปิดโอกาสการพัฒนาของประเทศ ดังนั้นการทำลายการผูกขาดจึงจำเป็นอย่างมาก หากประเทศไทยต้องพัฒนาต่อไป

การที่นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว. พลังงาน พยายามบอกว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะเป็นขาขึ้นนั้น น่าจะเป็นการขายฝันมากกว่า เพราะปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะเผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจอีกมาก เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย การส่งออกของไทยคงไม่เพิ่มมากนักและอาจจะลดลงด้วย อัตราดอกเบี้ยของไทยที่น่าจะต้องเพิ่มขึ้น เงินเฟ้อที่อาจจะยังไม่ลดลง ค่าไฟฟ้าที่ยังจะเพิ่มขึ้นอีก และราคาสินค้าและบริการที่จะปรับขึ้น หนี้สาธารณะ และ หนี้ครัวเรือนที่จะยิ่งพุ่งสูงขึ้นและหนี้เสียจะมากขึ้นจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและจ่ายไม่ไหว อีกทั้ง รมว ท่องเที่ยวที่อ้างว่าไทยฟื้นเร็วสุด น่าจะเข้าใจผิดเพราะเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในแดนลบมา 3 ปีแล่ว จากปี 63 ที่ติดลบ 6.2% และยังไม่ฟื้นที่เดิมเลย แถมการท่องเที่ยวของประเทศอื่นฟื้นแล้ว ห้องพักจองกันเต็ม แต่ของไทยกลับว่าง แถมยังจะไปเก็บค่าเหยียบแผ่นดินให้เป็นที่กวนใจนักท่องเที่ยวต่างชาติอีก นอกจากนี้พอโดนโจมตีว่าแจกบัตรคนจนมากแสดงว่าล้มเหลว พลเอกประยุทธ์เลยจะเปลี่ยนชื่อเป็นบัตรความสุข คิดได้เท่านี้จริงๆ

อีกทั้งการที่รัฐบาลจะจัดงบประมาณปี 2566 โดยจะกู้ถึง 1.05 ล้านล้านบาทนั้น น่าเป็นห่วงว่าจะทำให้หนี้สาธารณะยิ่งพุ่งสูง และเพราะกู้มากแต่ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ ยิ่งกู้มากยิ่งเจ๊งมาก ยิ่งกู้มากหนี้ยิ่งทะลุ ทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพียิ่งเพิ่มขึ้นและอาจจะต้องไปขยายเพดานที่ 70% กันอีก ซึ่งรัฐบาลในอนาคตจะต้องใช้หนี้แทนพลเอกประยุทธ์เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 40 ปีถึงจะใช้หนี้หมด ลูกหลานจะยิ่งลำบากกันมาก

ดังนั้น หากมองตัวเองย้อนหลัง พลเอกประยุทธ์น่าจะทราบดีว่าการบริหารเศรษฐกิจของพลเอกประยุทธ์ล้มเหลวมาตลอด และ หากยังดื้อรั้นเศรษฐกิจไทยในอนาคตจะพบกับอุปสรรคจำนวนมากโดยที่พลเอกประยุทธ์จะไม่สามารถรับมือได้เลย คนไทยจะยิ่งลำบากและประเทศไทยจะยิ่งเสื่อมถอยลงอีก ดังนั้นถึงเวลาที่ต้องได้สำนึกและออกไปได้แล้ว