ฉากทัศน์ ร้าวรานใจ ลี้คิมฮวง ลิ่มซีอิม เล้งโซ่วฮุ้น มาบรรจบ ได้พบกัน | บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

ฉากทัศน์ ร้าวรานใจ

ลี้คิมฮวง ลิ่มซีอิม เล้งโซ่วฮุ้น

มาบรรจบ ได้พบกัน

 

การมาของซิมไบ๊ไต้ซือ องครักษ์พิทักษ์กฎจากเสียวลิ้มยี่ หมายถึงการต้องวางความพยายามในการคุ้มครองลี้คิมฮวงลงของอาฮุย

เพราะว่า “บารมี” ของเสียวยี้ย่อมเป็น “หลักประกัน”

ด้านหนึ่ง พวกชั้งชิก เตี่ยเจี้ยอั้ว พาหลวงจีนวัดเสียวลิ้มยี่ไปพบฉินเฮ่างี้กับบุตร ขณะเดียวกัน ด้านหนึ่ง ก็จับลี้คิมฮวงกักขังอยู่ในห้องเก็บฟืน โดยที่เล้งโซ่วฮุ้นก็มิได้ทัดทาน ห้ามปรามและยับยั้งแต่อย่างใด

กระนั้น ลี้คิมฮวงก็มิได้นึกตำหนิ

ในความเข้าใจของน้องร่วมสาบาน เล้งโซ่วฮุ้นมีความคับแค้นของมัน อย่าว่าแต่มันก็ไม่มีความสามารถเพียงพอด้วย

ลี้คิมฮวงเพียงหวังอาฮุยอย่าได้มาช่วยมันอีกเลย

เนื่องจากได้พบเห็นว่าเพลงกระบี่ของอาฮุยแม้รวดเร็ว เฉียบขาด แต่ในหลักวิชาบู๊กลับมีจุดอ่อนที่พิสดารอยู่มากหลาย ยิ่งขาดประสบการณ์ประมือต่อสู้กับผู้คนเมื่อเผชิญกับศัตรูเข้มแข็งหากไม่อาจได้ชัยในกระบี่แรก

อาจบางทีจะไม่มีวันได้ชัยเลยตลอดกาล

 

น่าสนใจที่คนซึ่งมาเยี่ยมเยียนลี้คิมฮวงแรกสุดกลับมิใช่เล้งโซ่วฮุ้นหากแต่เป็นอั้งไฮ้ยี้ เล้งเซี่ยวฮุ้น มันมาพร้อมกับสุราใบไผ่เขียว (เต็กเฮียะแช) ซึ่งเก็บไว้นานปี

พร้อมกับคำถามอันคมแหลมยิ่ง

“ข้าพเจ้าถามท่าน ท่านกับมารดามีความสัมพันธ์ใดกันแน่ นางชอบท่านอย่างยิ่งใช่หรือไม่”

เป็นคำถามอันเหมือนทะลวงเหล็กแหลมเข้าไปในใจของลี้คิมฮวง

“ท่านอย่าคิดอำพรางข้าพเจ้า มิว่าเรื่องราวใดต่างไม่อาจอำพรางข้าพเจ้า นางพอได้ยินเรื่องของท่านก็ปิดประตูลงกลอน หลบไปร่ำไห้ในห้องนอนเพียงลำพัง ตอนข้าพเจ้าใกล้จะตายนางยังมิได้เศร้าเสียใจปานนี้ ข้าพเจ้าถามท่านนั่นเป็นเพราะสาเหตุใด”

ได้ยินดังนี้ หัวใจลี้คิมฮวงปวดแปลบราวถูกมีดเฉือน ตลอดร่างระทวยคล้ายเป็นดินร่วน

ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร แต่อั้งไฮ้ยี้กลับชักมีดสั้นออกมา

“ท่านเห็นชัดตาแล้วกระมัง นี่เป็นมีดของท่าน นางบอกว่าเรามีมีดของท่านเท่ากับมียันต์ป้องกันตัว แต่บัดนี้ท่านยังสามารถพิทักษ์เราได้หรือ ท่านกระทั่งตัวเองก็ยังไม่มีปัญญาพิทักษ์แล้ว ท่านทำร้ายจนเราต้องพิการไปตลอดชีวิต

บัดนี้ เราก็ต้องการให้ท่านรับทุกข์ทรมานเช่นกับเรา”

 

ยังมิทันที่อั้งไฮ้ยี้ เล้งเซี่ยวฮุ้น จะพูดจนจบกระแสความ ทันใดนั้นบังเกิดเสียงดังขึ้นที่หน้าประตู เป็นเสียงนุ่มนวลไพเราะ

“เซี่ยวฮุ้น เป็นเจ้าหรือที่อยู่ข้างใน”

เสียงอันนุ่มนวลไพเราะนี้ ทั้งลี้คิมฮวง ทั้งอั้งไฮ้ยี้ เล้งเซี่ยวฮุ้น พอได้ยินต่างหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน

อั้งไฮ้ยี้รีบซ่อนมีดสั้น ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสาของทารกปรากฏขึ้น

ลี้คิมฮวงมองดูรอยยิ้มที่คล้ายทารกไร้เดียงสาของมันแล้ว เหงื่อเย็นยะเยียบก็ซึมออกจากอุ้งมือโดยไม่รู้ตัว

เนื่องจากน้ำเสียงอันนุ่มนวลนั้นปรากฏพร้อมกับลิ่มซีอิม

ยิ่งเมื่อรับฟังบางถ้อยคำจากนางยิ่งทำให้มันมีความรู้สึกคล้ายมีของเหนียวอัดอยู่ในลำคอ มิว่าวาจาใดต่างเปล่งไม่ออก

“ท่านความจริง อย่างน้อยยังเป็นคนรักษาสัจจะ บัดนี้ไฉนเปลี่ยนไปแล้ว

ท่านรับปากข้าพเจ้า ว่าไม่ไปหาเซียนยี้เด็ดขาด แต่พวกมันกลับเสาะหาท่านพบในห้องของเซียนยี้”

เบื้องหน้าคำถามเช่นนี้ท่าทีของลี้คิมฮวงเป็นอย่างไร

 

ข้าพเจ้าจำได้ ห้องนี้เพิ่งสร้างเมื่อ 10 ปีมานี่เอง ใช่หรือไม่ แต่บัดนี้ห้องนี้เก่าอย่างยิ่งแล้ว ที่มุมห้องมีรอยแตก

ประตูหน้าต่างก็ผุแล้ว

แสดงให้เห็นว่า กาลเวลา 10 ปีมินับว่าสั้น ช่วงเวลา 10 ปี บ้านยังกลายเป็นทรุดโทรม คร่ำคร่า

อย่าว่าแต่คนเลย

(ลิ่มซีอิมขมวดคิ้วแนบแน่น ร้องเสียงสะท้าน “ท่าน หรือท่านตอนนี้กลายเป็นคนปลิ้นปล้อนหลอกลวงแล้ว”)

ข้าพเจ้า ความจริงก็เป็นคนหลอกลวง

เพียงแต่ตอนนี้มีความชำนาญการหลอกลวงคนมากกว่าเดิมบ้างเท่านั้น ได้ยินเช่นนี้แล้วท่านไฉนยังไม่ไป

ตรงนี้ต่างหากคือ “เป้าหมาย” อันแท้จริงของลี้คิมฮวง

 

การสนทนาระหว่างลิ่มซีอิมกับลี้คิมฮวง หากตัดเครื่องถนิมพิมพาภรณ์บางประการออกไปจะสะท้อนให้เห็นความอาทร ห่วงหา

ภายในความอาทรห่วงหาระคนเคล้าด้วยการตัดพ้อ ประชดประเทียด

เริ่มจากความต้องการของลิ่มซีอิมที่ว่า “ข้าพเจ้าเพียงต้องการถามให้ได้ความ ท่าน ท่าน เป็นบ๊วยฮวยเต๋าจริงหรือไม่”

“ข้าพเจ้าใช่บ๊วยฮวยเต๋าหรือไม่ ท่านถาม ข้าพเจ้าใช่บ๊วยฮวยเต๋าหรือไม่”

“ข้าพเจ้าแม้มิเชื่อว่าท่านเป็นบ๊วยฮวยเต๋าอย่างเด็ดขาด แต่ยังอยากได้ยินท่านบอกมากับปากท่านเอง”

“ฮา ฮา ในเมื่อท่านไม่เชื่อเด็ดขาด เหตุใดยังต้องถาม

ในเมื่อข้าพเจ้าเป็นคนปลิ้นปล้อน หลอกลวง ท่านถามแล้วจะมีประโยชน์ใด ข้าพเจ้าหลอกลวงท่านได้ครั้งหนึ่งก็หลอกลวงท่านได้ร้อยครั้งพันครั้ง”

ใบหน้าลิ่มซีอิมยิ่งนานยิ่งเผือดขาว กระทั่งร่างยังสั่นระริก

“ข้าพเจ้าจะปล่อยท่านไป มิว่าท่านเป็นบ๊วยฮวยเต๋าหรือไม่ข้าพเจ้าต่างปล่อยท่านไปได้ แต่วิงวอนท่านเมื่อไปในครั้งนี้แล้ว

อย่าได้ย้อนกลับมาอีก อย่าได้กลับมาอีกตลอดกาลนาน”

 

คํากล่าวของลิ่มซีอิม ความต้องการของลิ่มซีอิม อาจสะท้อนความห่วงหาอาทร ปรารถนาจะยืนยันในความผูกพันที่มีอยู่

ลี้คิมฮวงกลับตอบแทนความปรารถนาดีนี้ด้วยเสียงตวาด

“หยุด ท่านไฉนกระทำเรื่องเช่นนี้ได้ ท่านเข้าใจ ข้าพเจ้ายอมถูกท่านช่วยเหลือออกไป ท่านเข้าใจ ข้าพเจ้าจะหนีเยี่ยงสุนัขถูกไล่ล่าหรือ ท่านเห็นข้าพเจ้าเป็นคนเช่นไรไปแล้ว”

ลิ่มซีอิมไม่แยแส นางพลิกร่างลี้คิมฮวงขึ้นเพื่อตบคลายจุดให้

ขณะเวลาอันฉุกละหุกนั้นเอง พลันมีคนผู้หนึ่งตวาดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราด “ซีอิม ท่านคิดทำอะไร”

นั่นเป็นเสียง เล้งโซ่วฮุ้น

แต่ที่สำคัญกว่านั้นกลับเป็นคำตอบจากลิ่มซีอิม

“ข้าพเจ้าคิดทำอะไรหรือท่านไม่ทราบ ความจริงเรื่องนี้ควรเป็นท่านมากระทำ หรือท่านลืมเรื่องราวเมื่อเก่าก่อน หรือท่านยอมเบิ่งตาดูมันถูกคนฆ่าตาย ในเมื่อท่านไม่กล้ากระทำเรื่องนี้ ข้าพเจ้ามีแต่ต้องกระทำเอง

หรือท่านยังคิดมาขัดขวางข้าพเจ้า”

 

นี่เป็นอีกสถานการณ์หนึ่งซึ่งไม่เพียงแต่แยกจำแนก ลิ่มซีอิม เล้งโซ่วฮุ้น ออกจากลี้คิมฮวง หากแต่ยังแยกลิ่มซีอิม ออกจากเล้งโซ่วฮุ้น

เห็นได้จากเล้งโซ่วฮุ้นกำหมัดแน่น ทุบทรวงอกอย่างหนักหน่วง

“ข้าพเจ้าไม่กล้า ข้าพเจ้าไม่มีขวัญดี ข้าพเจ้าเป็นคนขลาดเขลา แต่ท่านเหตุใดไม่ขบคิด พวกเรากระทำเรื่องนี้ได้อย่างไร พวกเราช่วยมันไปแล้วผู้อื่นจะยอมปล่อยพวกเราหรือ”

ลิ่มซีอิมเบิ่งจ้องมันแน่วนิ่ง คล้ายดั่งไม่เคยพบเห็นคนผู้นี้มาก่อน

นางถอยหลังไปช้าๆ กล่าวช้าๆ “ท่านเปลี่ยนแล้ว ท่านก็เปลี่ยนแล้ว เมื่อก่อนท่านมิใช่คนเยี่ยงนี้”

“ใช่ ข้าพเจ้าอาจบางทีเปลี่ยนแล้ว เนื่องเพราะข้าพเจ้าตอนนี้มีภรรยามีบุตร ข้าพเจ้ามิว่ากระทำเรื่องใดต่างต้องคิดเห็นเพื่อพวกมันก่อน ข้าพเจ้าไม่อาจหักใจอำมหิตให้พวกมันต้องเป็นภัยเพราะข้าพเจ้า”

ลิ่มซีอิมส่งเสียงร่ำไห้ด้วยความเจ็บช้ำ

เล้งโซ่วฮุ้นพลันคุกเข่าที่เบื้องหน้าลี้คิมฮวง หลั่งน้ำตากล่าว “น้องเรา ข้าพเจ้าละอายต่อท่าน เพียงยินยอมท่านยอมอโหสิให้ข้าพเจ้า”

ถามว่าเล้งโซ่วฮุ้นหมดสิ้นหนทางจริงละหรือ

 

ไม่ว่าเล้งโซ่วฮุ้นจะคิดอย่างไร ไม่ว่าลิ่มซีอิมจะมีความเข้าใจในเรื่องราวลึกซึ้งเพียงใด แต่สำหรับลี้คิมฮวงแล้วมันมิได้เปลี่ยน

มันแยกตัวออกต่างหากจากเล้งโซ่วฮุ้น และ ลิ่มซีอิม

“อโหสิท่าน ข้าพเจ้าไม่เข้าใจเลยว่าพวกท่านกล่าวกระไร ข้าพเจ้าบอกท่านก่อนแล้วนี่มิเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของพวกท่านเลยสักน้อยนิด

หากข้าพเจ้าจะหนีตัวเองก็มีปัญญาหนีได้ มิต้องให้พวกท่านมาช่วย”

ลี้คิมฮวงยังคงมองปลายเท้าของตัวเองดังเดิม เนื่องเพราะไม่อาจเหลือบแลคนทั้งสองอีกสักแวบหนึ่ง

กลัวอย่างยิ่งว่าตัวเองก็ไม่อาจอดกลั้นน้ำตาไว้ได้