บนทาง 2 แพร่งที่มืดมน/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

บนทาง 2 แพร่งที่มืดมน

 

ภายหลังจากใช้กำลังพลรบและอาวุธของกองทัพโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร ได้โหมประโคมโฆษณากล่อมประสาทผู้คนว่า “ขอเวลาไม่นาน”

ต่อมาเมื่อ “ประยุทธ์” ได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 และเวลาล่วงผ่านไปปีแล้วปีเล่า จาก 2557 เป็น 2558 เป็น 2559 เป็น 2560 ถ้ามีใครไปถาม “เมื่อไหร่จะไป” ประยุทธ์เป็นควันออกหู บางทีถึงขั้นท้าทาย “ลองมาไล่กูสิ”

4 ปีล่วงผ่านไปก็เหมือนกับการครบเทอมของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ใครว่า “ขอเวลาไม่นาน” ประวัติศาสตร์การเมืองไทยชี้ชัดเผด็จการล้วนตระบัดสัตย์!

“บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ประธานร่างรัฐธรรมนูญคนแรกประเดิมโบกมือลา พร้อมกับบอกเป็นนัยยะ “เขาอยากอยู่ยาว”

ตอนนั้นถ้ามีใครไปถาม “ประยุทธ์” เป็นได้เกรี้ยวกราด ประกาศย้ำบ่อยๆ ว่าเป็นทหาร ไม่เล่น ไม่ยุ่ง ไม่มุ่งการเมือง

แต่พอรัฐธรรมนูญ “ฉบับมีชัย” เสร็จและผ่านพิธีกรรมลงประชามติแบบพิสดาร หลายคนที่เคยเชื่อในความปรารถนาดีของ “คณะรัฐประหาร” ก็ถึงกับหงายหลัง

“รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีไซน์มาเพื่อพวกเรา” คือการตอกย้ำคำของ “บวรศักดิ์”

เขาอยากอยู่ยาว!!

ภารกิจ “คสช.” จบสิ้นลง แต่หลังเลือกตั้งมีนาคม 2562 รัฐธรรมนูญ 2560 วางแผนให้ 250 ส.ว. ที่ “หัวหน้า คสช.” แต่งตั้ง สามารถยกมือเลือก “นายกรัฐมนตรี” เท่าเทียมผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง

อำนาจอธิปไตยถูกตัดแบ่งไป

ภายหลังเลือกตั้งปี 2562 ประเทศไทยจึงได้ “หัวหน้า คสช.” ผู้นำรัฐประหารคนเดิม ซึ่งดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” วาระแรกมาตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2557 กลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรี” อีกครั้งเป็นสมัยที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2562 เป็นต้นมา

 

ยามนี้ถึงคราวคับขัน รัฐธรรมนูญบังคับว่า เพื่อไม่ให้การเมืองเกิดวิกฤตขึ้นมาอีก นายกรัฐมนตรีไทยทุกคนไม่ควรอยู่ในตำแหน่งเกิน 8 ปี

ภายหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ “นายกรัฐมนตรี” เอาไว้ก่อน “ประยุทธ์” ซึ่งควรเป็น “แบบอย่าง” คนที่เคารพกติกาอย่างองอาจกล้าหาญ กลับทำในสิ่งตรงข้าม ให้ทีมนักกฎหมายทำรายงานชี้แจงศาลรัฐธรรมนูญ ดิ้นรนเพื่อ “อยู่ต่อ”

ช่วงจังหวะนี้จึงเป็นธรรมดาที่ “ประวิตร” พี่ใหญ่จะได้ใช้โอกาสจากการปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมตรี “แสดงศักยภาพ”

พอได้ยินว่าน้ำกำลังจะมา “ประวิตร” ก็โชว์ท่วงท่าประสานสิบทิศ โทรศัพท์ประสาน “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าฯ กทม. สั่งการให้กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมชลประทาน กรมเจ้าท่า และหน่วยทหารเข้าช่วย กทม.กำจัดผักตบชวาและสิ่งกีดขวางทางระบายน้ำ

ต่างกับ “ประยุทธ์” ที่เคยบอกว่า ฝนตกน้ำท่วมเป็นภัยธรรมชาติ ถ้ากลัวน้ำที่จะมาก็ให้ไปปลูกบ้านบนที่สูง หรือยกพื้นให้สูง

แต่วันนี้ “ประยุทธ์” เปลี่ยนไป

แม้ “ประยุทธ์นายกฯ” ต้อง “หยุดปฏิบัติหน้าที่”

ยังคงมี “ประยุทธ์-รัฐมนตรีกลาโหม” เคลื่อนไหวได้

เมื่อได้ยินว่า “น้ำกำลังจะมา” ประยุทธ์-รัฐมนตรีกลาโหมก็อาศัยตำแหน่งทางการเมืองที่เหลืออยู่ออกโรง

ประยุทธ์กลาโหมไปตรวจเยี่ยมการรับมือน้ำท่วมที่พระนครศรีอยุธยา ทั้งที่เมื่อครั้งที่นั่งควบเก้าอี้ “นายกฯ” กับ “รัฐมนตรีกลาโหม” ท่วงท่าลีลาอย่างนี้ไม่เคยมีปรากฏ

ประยุทธ์ไปอยุธยาพร้อมกับ “ป้ายเชียร์” หลากหลายข้อความให้กำลังใจ

ขณะที่พี่ใหญ่ “ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ก็ออกเดินสาย ใช้ฐานะ “รักษาการ” นายกรัฐมนตรีออกตรวจเยี่ยมหลายพื้นที่ และตั้งแต่วันจันทร์ที่ 5 กันยายนเป็นต้นไป ทีมประวิตรก็จะยกระดับจากการ “โหมโรง” เป็นปฏิบัติการที่เป็นระบบมากขึ้น

 

วันนี้การเมืองไทยถึงทางแยก 2 แพร่งเล็กๆ ที่ 2 ป.กำลัง “ช่วงชิงการนำ” ซึ่งสูตรสำเร็จในการสร้างความชอบธรรมก็คือทำลายฝ่ายตรงข้าม

ฝ่ายหนึ่ง จึงผลักไสหรือช่วยกันถีบ “ประยุทธ์” ออกไปด้วยการแฉผลงานในรอบ 8 ปีว่ามีแต่ “หนี้” กับการทำให้ความจนแผ่กระจายไปอย่างกว้างขวางและทั่วถึง

เอาเป็นว่า แค่หายใจเข้าออกวันหนึ่งๆ ประเทศก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยถึง 635 ล้านบาท

“ภาพ” ของประยุทธ์จึงเป็นที่สุดของความล้มเหลว!

แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็งัดเอากรณีที่ “พล.ร.อ.ศิษฐ์วัชร วงษ์สุวรรณ” น้องชายของ “ประวิตร” มากล่าวหาว่าใช้ฐานะประธานกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมและกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ แต่งตั้ง ส.ต.ท. (หญิง) กรศศิร์ บัวแย้ม (ที่กำลังมีคดีอื้อฉาวทำร้ายร่างกายทหารรับใช้หญิงในบ้าน) เป็น “ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำกรรมาธิการฯ”

นำไปสู่การล้อเลียนและตั้งข้อสงสัย มีดีอะไรหรือ “พลเอก” ถึงต้องอาศัย “สิบตำรวจโท” เป็นที่ปรึกษา

ผบ.ตร., รอง ผบ.ตร., ผู้ช่วย ผบ.ตร., ผบช. และรอง ผบช. ทั้งหลายหายไปไหน

กระทบชิ่งทำให้พี่ใหญ่ “ประวิตร” เสียรังวัด!

 

จะว่าไป “การเมือง” ในประเทศไทยวิปริตผิดเพี้ยนมาเกือบศตวรรษแล้ว

ตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในปี 2475 ถึงแม้คราวนั้นจะเป็นการเปลี่ยนถ่ายอำนาจครั้งใหญ่ที่สุดและไม่มีการเสียเลือดเนื้อ แต่ภูเขาไฟใต้ธารน้ำแข็งก็ปะทุจนได้ ภายใต้ปฏิบัติการของ “กบฏบวรเดช”

เบื้องหน้าศึกสงบจบลงด้วยการพ่ายแพ้อย่างยับเยินของฝ่ายเจ้า เวทีการเมืองถูกยึดครองโดยเสรีชนนาม “คณะราษฎร” แต่หลังม่านการเมืองนั้น “ลัทธิทหาร” ได้ก่อตัวและเติบโตขึ้นในฐานะเป็น “พลังหลัก” ที่ค้ำจุนเสถียรภาพรัฐบาล

ประชาชนผู้เป็นใหญ่หรืออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนยังคงเป็นเพียง “ความอยากจะเป็น”

“ของจริง” คือคนที่คุมกำลังพลรบและอาวุธ

ประชาธิปไตยไทยจึงระส่ำมาตั้งแต่ทศวรรษแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และรัฐประหาร 2490 ก็เป็นการลงหลักปักฐานของ “ลัทธิทหาร” แต่นั้นเป็นต้นมา “รัฐประหาร” ก็สร้างธรรมเนียมทางการเมือง รัฐประหารแล้วนิรโทษกรรม เขียนกติกาใหม่อำนวยประโยชน์ให้กับตัวเอง พวกพ้อง แล้วจัดให้มีการเลือกตั้ง พอผลประโยชน์ของทหารกับพวกพ้องได้รับผลกระทบจากรัฐบาลก็ทำรัฐประหาร

ระบบยุติธรรมเอื้อมไม่ถึง ไม่มีการดำเนินคดี ไม่มีติดคุกติดตะรางหรือประหารชีวิตคนที่ทำรัฐประหาร แต่กลับ “นิรโทษกรรม” พร้อมกับ “เขียนกติกาใหม่” ปูทางให้ตัวเองหรือตัวแทนมีอำนาจต่อไป

บนทาง 2 แพร่งที่ 2 ป.กำลังช่วงชิงกันในวันนี้ ตราบเท่าที่ “รัฐธรรมนูญ” ยังไม่มีความเป็น “เสรีประชาธิปไตย ประชาชนผู้ต่ำต้อยก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร!?!!

https://twitter.com/matichonweekly/status/1552197630306177024