ธงทอง จันทรางศุ | เข้าโรงพยาบาล

ธงทอง จันทรางศุ

อนนี้ผมนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่โรงพยาบาล เพราะฉะนั้น จะมีเรื่องอะไรเหมาะยิ่งไปกว่าเรื่องการมาโรงพยาบาลเห็นจะไม่มีอีกแล้ว

เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นในตอนเช้าวันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ตลอดคืนวันพุธถึงรุ่งเช้าวันพฤหัสฯ ผมนอนไม่ค่อยหลับ รู้สึกว่ามีอาการปวดบ่าด้านซ้ายตลอดไปถึงแขนด้านซ้ายด้วย

เอ! ตัวเราก็ท่องคาถามาตลอด “การพบแพทย์เป็นอันตรายต่อสุขภาพ” แล้วนี่จะยอมจำนนไปหาหมอนี่ไงเอาเจียวหรือ

หลังจากสู้กับความเจ็บปวดจนหน้าหงิกหน้างอตลอดทั้งวัน ฝ่ายธรรมะก็มีชัย โดยผมได้โทรศัพท์ปรึกษากับคุณหมอผู้ใหญ่ท่านหนึ่งว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิตของตัวเอง

คุณหมอบอกว่าอย่าได้รีรอเป็นอันขาด ให้มาห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ทันที

ในนาทีที่ผมกำลังจะย่างเท้าออกจากบ้าน ก็มีหมอผู้เชี่ยวชาญโรคประสาทวิทยาคนหนึ่งก้าวเข้ามาในบ้านเพื่อมาถามอาการ หลังจากฟังผมบ่นเสียหูหัวบูมไปแล้วเมื่อตอนเช้า ปะเหมาะเคราะห์ดีอะไรอย่างงั้น

จึงเป็นว่าเราไปโรงพยาบาลด้วยกันสองคน

 

อาการเจ็บป่วยของคนไทยนี่บางทีก็อธิบายลำบากนะครับ เรามีศัพท์แสงหลายอย่างที่ฝรั่งจ้างให้ก็ไม่เข้าใจ เช่น สะบักจม ปวดร้าวๆ การมีหมอไปเป็นล่ามกับหมออีกคนหนึ่งจึงน่าจะสะดวกด้วยประการทั้งปวง

เมื่อไปถึงห้องฉุกเฉิน ข้อแรกที่ต้องทำคือการคัดกรองโควิด เพราะโรงพยาบาลยังต้องสู้รบปรบมือกับโควิดจำนวนมาก ผ่านการคัดกรองแล้วจึงมีสิทธิ์เข้าไปนั่งหรือนอนรอบนเตียงในห้องฉุกเฉิน

คุณหมอสามสี่คนประชุมปรึกษากันต่อหน้าผมแล้วมีความเห็นว่า ควรส่งผมไปเอ็กซเรย์เสียก่อน โดยเน้นจุดเอ็กซเรย์แถวลำคอและบ่าตลอดถึงแขน

นี่ไงครับที่เขาว่า “โรคร้ายป้องกันได้ด้วยก็ไม่พบแพทย์” ผมไม่เป็นโรคอะไรมาตั้งนานนอกจากโรคกรดไหลย้อนและความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นของมีไว้ประจำตัวพอแก้ขัดเขิน

ถึงคราวนี้พอไปเอ็กซเรย์เข้าถึงผลปรากฏว่า กระดูกสันหลังของผมส่วนที่อยู่ใกล้กับคอเส้นที่ห้า หกและเจ็ดเสื่อม ซึ่งเป็นคำอธิบายทางวิชาการที่เชื่อมโยงกับอาการที่ผมมีทุกประการ

อย่างไรก็ดี วิธีรักษามีหลายอย่าง ตอนนี้แค่เอายาไปกิน แล้วนัดหมายมาทำเอ็มอาร์ไอซึ่งเป็นวิธีการตรวจพิเศษอย่างละเอียดเห็นทุกซอกทุกมุมของชีวิตอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 20 สิงหาคมเห็นจะดี

เมื่อคุณหมอว่าอย่างนั้นผมก็กลับบ้านมานอนปวดอีกหนึ่งคืน รุ่งเช้ามีความเห็นบอกกับตัวเองว่าปวดจนทนไม่ไหวแล้ว

จะเทียบกับคุณผู้หญิงคลอดลูกก็ไม่รู้ว่าผิดหรือถูก จึงปล่อยเลยตามเลย

รู้แต่ว่าต้องรีบไปโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์อีกรอบหนึ่ง

 

ไปห้องฉุกเฉินเดิมนั่นแหละครับ พบคุณหมอชุดเดิม คราวนี้คุณหมอทุกท่านลงความเห็นว่าต้องทำเอ็มอาร์ไอฉุกเฉินแล้ว เดี๋ยวนี้ และเดี๋ยวนี้ จะรอไว้วันที่ 20 ต่อไปไม่ได้เนี่ย

อันว่าเครื่องเอ็มอาร์ไอนี้ เป็นเครื่องมือตรวจทางการแพทย์จัดอยู่ในประเภทวินิจฉัยด้วยภาพอย่างหนึ่ง หน้าตาเหมือน sausage roll คือมีตัวเครื่องเป็นเหมือนแป้งขนมปังแต่มีความหนาพอสมควรอยู่รอบนอก ถึงเวลาจะตรวจวินิจฉัยก็จับคนไข้วางลงบนถาดรางเลื่อน แล้วเรื่องเราก็ไปอยู่ในตัวแป้งขนมปังนั้น ตัวเราก็เป็นไส้กรอกดีๆ นี่เอง 55555

การตรวจด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอคราวนี้ไม่มีเจ็บปวดอะไรนอกจากความอึดอัดเพราะเพดานต่ำเหลือเกิน และมีเสียงดังช้งเช้งกึงกัง อยู่แทบไม่ขาดระยะ ผมเคยนอนเข้าไปในเครื่องนี้สองหรือสามครั้งแล้วจึงเรียกได้ว่าคุ้นเคยกันอยู่ บางคราวเจ็บปวดมากกว่านี้เพราะมีการฉีดสีและให้หยุดการหายใจเป็นระยะๆ ด้วย

ส่วนหนนี้นอนเฉยๆ อย่าไปกระดุกกระดิกเข้าก่อนแล้วกัน มิเช่นนั้นภาพก็จะไม่ชัดและต้องถ่ายใหม่อีกรอบหนึ่ง เสียทั้งเวลาและเสียทั้งสตางค์

 

ผลจากการตรวจด้วยเครื่องเอ็กซเรย์และเครื่องเอ็มอาร์ไอยืนยันถูกต้องตรงกัน ผมจึงเปลี่ยนจากคนข้างนอกมาเป็นคนไข้ใน เพื่อดูอาการและจัดให้ยาบรรเทาความปวดก่อนที่จะลงไปดิ้นพลาดอยู่กับพื้น พร้อมกันนั้นก็ปรึกษาหารือกันในระหว่างคุณหมอทั้งหลายเพื่อดูว่าจะทำการรักษาผมต่อไปอย่างไร

กว่าจะขึ้นมาอยู่บนห้องพัก ซึ่งอยู่บนชั้นที่ 21 ของอาคารสูงริมสวนลุมพินี ผมก็อ่อนแรงมากแล้ว ตั้งใจจะนอนหลับให้เต็มที่แต่ก็ทำไม่ได้จริงเพราะมีอาการปวดแขนอยู่สม่ำเสมอ ตลอดวันเสาร์จนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาอธิบายให้คุณหมอและคุณพยาบาลที่เข้ามาถามอาการเป็นระยะๆ ฟังได้ความว่า อาการปวดนี้เวลานอนราบ ทอดแขนลงอยู่เสมอตัวก็จะทุเลาอาการปวดลง แต่ถ้านั่งบนเก้าอี้หรือนั่งบนเตียงพยาบาลในห้องของเราอาการปวดจะรุนแรงขึ้น

ผู้สันทัดกรณีทั้งหลายอธิบายว่า ถูกต้องแล้ว เพราะในขณะนั่ง กระดูกชิ้นบนจะกดทับลงบนกระดูกชิ้นล่างต่อเนื่องกันไปจนทำให้เกิดอาการปวดอย่างที่ว่า แต่ถ้านอนราบเสีย กระดูกแต่ละท่อนต่างคนต่างอยู่ เจ้าของกระดูกก็จะสบาย อิอิ

 

ตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาพูดคุยกับคุณหมอทั้งที่ได้พบหน้ากันและทั้งโทรศัพท์ไปถามความเห็นเขา ได้ความตรงกันว่าโรคชนิดนี้อาจจะรักษาได้ด้วยวิธีการต่างๆ สามแบบ

แบบที่หนึ่ง เป็นแบบก่อนประวัติศาสตร์คือกินยาไปเรื่อยๆ มันต้องดีเข้าสักวันหนึ่งสิน่า

วิธีที่สอง เป็นการหักหาญขึ้นมาหน่อย คือใช้วิธีฉีดยาด้วยเข็มแหลมลงไปให้ตรงจุดของกระดูกสันหลังข้อที่เสื่อมหรืออักเสบ เพื่อให้ยานั้นเข้าไปทำหน้าที่บำรุงบำเรอให้หายดีเป็นปกติ การฉีดยาแบบนี้ต้องควบคู่กันกับการใช้เอ็กซเรย์ดูทางเดินและตำแหน่งของเข็มด้วยว่าถึงตรงไหนแล้ว จึงต้องทำในห้องผ่าตัดที่มีเครื่องมือพิเศษ

ส่วนแบบที่สาม เป็นแบบประกาศสงครามชนิดพิบูลสงครามกันเลยทีเดียว คือใช้วิธีการผ่าตัด ส่วนผ่าเข้าไปแล้วจะไปตัดอะไรบ้าง ยังไม่ทันได้ถาม

เพียงแค่รู้ทั้งสามอย่างนี้ผมก็เลือกได้แล้วครับว่าจะขอเดินทางสายกลาง คือขอใช้วิธีฉีดยาเข้ากระดูกสันหลัง

แค่นี้ก็ชื่นชมตัวเองมากแล้ว

 

วันนี้คือวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม เป็นวันที่ผมเข้ารับการบำบัดด้วยวิธีดังกล่าว แค่เดินทางจากห้องพักไปห้องผ่าตัดก็ต้องเปลี่ยนเตียงสองรอบแล้ว ขึ้นต้นจากเตียงในห้องของเราเป็นเตียงสำหรับเดินทาง และพอไปถึงห้องผ่าตัดก็เปลี่ยนอีกทีหนึ่งจากเตียงเดินทางเป็นเตียงผ่าตัด ม้วนผ้า

ท่าทางสำหรับทำภารกิจครั้งนี้ให้นอนคว่ำโดยตลอดครับ มีวัสดุทรงกลมมาให้หนุนศีรษะ ตรงหน้าอกเราก็มีผ้าหนุนรองอยู่ พอทำอย่างนี้ก็ทำให้ปากและคอของเราลอยผลพื้นเตียงขึ้นมาหน่อยหนึ่ง มีการเสียบสายออกซิเจนขนาดเล็กไว้ในจมูกจะได้หายใจสะดวก ที่สำคัญคือต้องมัดตัวเราตลอดทั้งร่างให้ตรึงแน่น ส่วนหัวก็เอาสก๊อตเทปมาทำระยางติดไว้กับด้านข้างเตียง สองข้างเตียงชักสีข้างขึ้นมาเป็นราวเหล็กป้องกันตก ระหว่างตัวเรากับราวเหล็กก็ยัดหมอนหรืออะไรไว้จนแน่น

ระหว่างที่นอนให้เขาจุนเจิมอยู่นั้นไม่ได้นึกถึงเตียงในห้องผ่าตัดเลย ทำไมไปนึกถึงอะไรอย่างอื่นได้ก็ไม่รู้ 555555

เมื่อทุกอย่างคงที่แล้ว คุณหมอผู้หญิงซึ่งเป็นผู้อำนวยการห้องผ่าตัดก็ลงมือฉีดยาชาโดยอธิบายว่าจะรู้สึกชาหรือแสบที่ผิวหนัง อีกคู่เดียวต่อมาเธอก็แทงเข็มเข้าไปในตัวของเรา ซึ่งไม่เจ็บเท่าที่คิด เอาเข้าจริงแล้วเจ็บน้อยกว่าตอนฉีดยาชาเสียด้วยซ้ำไป ทางคุณหมอก็อธิบายว่าเข็มจวนจะถึงตรงโน้นตรงนี้แล้ว และขอกำชับว่าอย่ากระดุกกระดิก เหตุการณ์เป็นอย่างนี้ประมาณ 15 นาทีก็จบสิ้นกระแสความ เฮ้!

ออกจากห้องผ่าตัดแล้ว มานอนพักดูอาการอีก 1 ชั่วโมงก่อนย้ายขึ้นมาบนห้อง อาการปวดหายไปเกือบหมดทุกส่วนแล้ว เหลืออีกนิดเดียวที่แขนข้างซ้าย ซึ่งทีมคุณหมอทั้งหลายบอกว่าเป็นธรรมดาของการทำวิธีรักษาอย่างนี้ ประเดี๋ยวกลับไปบ้านก็ต้องกินยาและรักษาต่อไปจนกว่าจะเป็นปกติ

 

เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาผมไปเดินเล่นเร่งฝีเท้าเสียวันละ 10,000 กว่าก้าวที่ยุโรปสองประเทศ เผลอนึกไปว่าตัวเองแข็งแรงมหัศจรรย์พันลึก

เอาเข้าจริงงแล้ว ผมก็ไม่ใช่ซูเปอร์แมนอะไร หากแต่เป็นมนุษย์ที่มีผิวหนังเลือดเนื้อ มีโรคมีภัยได้เหมือนคนอื่น

เห็นใครทำงานหนักต่อเนื่องกันหลายปี แบบไม่ได้หยุดพักเลย แปดปี เก้าปี สิบปี ก็อดเวทนาสงสารเขาไม่ได้

ว่างๆ ว่าจะชวนมานอนเล่นฉีดยาด้วยกันซะหน่อย ดีมั้ยน้อ