‘เพื่อไทย-ก้าวไกล’ จับมือแลนด์สไลด์ ‘250’ สูตรเปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนประเทศ ‘ช่อ-โรม’ ตั้งโจทย์อนาคตการเมือง/บทความในประเทศ

บทความในประเทศ

 

‘เพื่อไทย-ก้าวไกล’

จับมือแลนด์สไลด์ ‘250’

สูตรเปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนประเทศ

‘ช่อ-โรม’ ตั้งโจทย์อนาคตการเมือง

 

 

นับถอยหลังอีกเพียงแค่ 10 กว่าเดือน ประเทศไทยก็จะกลับเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งใหญ่อีกครั้ง สิ้นสุดการบริหารประเทศภายใต้การนำของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ครองตำแหน่งรั้งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมานานถึง 8 ปีเต็ม และกำลังจะหมดวาระในเดือนมีนาคม ปี 2566

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้สถานการณ์ทางการเมืองในปี 2565 เริ่มกลับมาดุเดือดและเข้มข้นอีกครั้ง หลายพรรคเริ่มขยับตัวปรับทัพ ปรับยุทธศาสตร์ ทั้งในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน และพรรคจัดตั้งใหม่ ที่เริ่มวางนโยบายหาเสียง ตลอดจนเปิดตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง เตรียมพร้อมเป็นผู้ถูกเลือกจากประชาชน ในการเลือกตั้งปี 2566 ที่ใกล้จะมาถึง

สิ่งที่เห็นได้ชัดเมื่อใกล้เข้าสู่ช่วงหมดวาระของ พล.อ.ประยุทธ์ นั่นก็คือความสั่นคลอนทั้งภายนอกภายในคอยเขย่าความมั่นใจ พล.อ.ประยุทธ์อย่างหนัก รวมถึงผลการบริหารงาน การรับมือจากโรคระบาด ตลอดจนพิษเศรษฐกิจที่พังไม่เป็นท่า ประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขึ้นราคาต่อเนื่อง

ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์การบริหารประเทศของ พล.อ ประยุทธ์ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ในห้วงส่งท้ายการอยู่ในหน้าที่นายกรัฐมนตรี

“ช่อ-พรรณิการ์ วานิช” กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “The Politics ข่าวบ้านการเมือง” มติชนทีวี เริ่มต้นจากผลงานการบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ ในระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา เต็มไปด้วยความล้มเหลวในความรู้สึกคนส่วนใหญ่

“เรื่องเศรษฐกิจตอนนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนเดือดร้อนมากจริงๆ ยุคหลังโควิดที่เจอกับวิกฤตเศรษฐกิจต่อเลย เป็นความเดือดร้อนที่จับต้องได้สุดๆ ช่อคิดว่าในปีสุดท้ายของคุณประยุทธ์ จะใช้คำว่ารอดพ้นก็ไม่เชิง คือพังพินาศมาจากโควิดแล้วต่อด้วยพิษเศรษฐกิจในปีสุดท้าย เหลือเวลาอีกประมาณ 10 เดือนก่อนเลือกตั้ง คงจะไม่เป็นสิ่งที่นายกฯ แฮปปี้แน่นอน”

“ท่านทราบดีว่าวิกฤตครั้งนี้หนักแล้วก็กระทบประชาชนเป็นวงกว้างมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นคนรวย คนชั้นกลาง คนจน วันนี้เดือดร้อนกันมาก เขาก็อยากจะรอฟังว่านายกฯ จะตอบว่ายังไง ปัญหาความเดือดร้อนที่ประชาชนประสบอยู่ในตอนนี้ หากรัฐบาลยังไม่แสดงความรับผิดชอบ คงไม่มีอะไรที่ประชาชนจะต้องพูดกันอีก นอกจากให้คูหาเลือกตั้งในปี 2566 เป็นเครื่องมือสั่งสอนนักการเมือง”

ขณะที่ความตื่นตัวต่อสถานการณ์บ้านเมืองของประชาชน “ช่อ พรรณิการ์” มองว่าเริ่มมีมากขึ้น โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร กลับมาอีกครั้งหลังมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพ และได้ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” มาเป็นผู้ว่าฯ ตามที่หลายคนรอคอย ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกหน้าชื่นตาบานขึ้นมา หลังเผชิญกับผู้นำที่ไม่มีศักยภาพมาหลายปี

สิ่งนี้ “ช่อ พรรณิการ์” มองว่ายิ่งทำให้คนเห็นชัดถึงความแตกต่างระหว่างผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งและผู้นำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

“คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็ไม่จำเป็นต้องรับใช้ประชาชนเพราะไม่ได้มาจากประชาชน แต่ว่าคนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมันแบกความคาดหวัง ความรับผิดชอบต่อประชาชนไว้ แม้ว่าคุณตั้งใจจะลงต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา คุณได้สัญญาอะไรไว้กับประชาชน อย่าลืมว่ายุคนี้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียง มีช่องทางแสดงออกและมีส่วนร่วมทุกมิติ”

 

สําหรับการเลือกตั้งใหญ่ปีหน้า “ช่อ พรรณิการ์” ได้เสนอสูตรเปลี่ยนขั้วทางการเมือง นั่นก็คือการที่พรรค “เพื่อไทย-ก้าวไกล” จับมือกันแลนด์สไลด์ให้ได้เกิน 250 เสียง เพื่อจะทำให้พรรคฝั่งประชาธิปไตยเข้าไปอยู่ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และจะสามารถเข้าไปผลักดันร่างกฎหมายที่เป็นประโยชน์ให้กับประชาชนได้ เพราะที่ผ่านมาร่างกฎหมายต่างๆ ของฝ่ายค้านแพ้เสียงโหวตจากฝั่งรัฐบาล รวมถึงอุปสรรคใหญ่อย่าง 250 เสียงจาก ส.ว. ที่ยังเหนียวแน่นในการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมปัดตกทุกร่างที่ฝ่ายค้านเสนอเข้าไป

ดังนั้น หากฝั่งประชาธิปไตยต้องการเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลสมัยหน้า ทางเดียวคือต้องจับมือกันแลนด์สไลด์ให้ได้คะแนนมากกว่า 250 จึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

“ตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ เราบอกว่าตั้งพรรคการเมืองมา ไม่ได้ตั้งมา 5 เสียง 10 เสียงในสภา ตั้งขึ้นมาเพื่อต้องการเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และมีเก้าอี้ ส.ส.มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ใช่เพราะว่าเราจะเอาตำแหน่ง ส.ส.ไปต่อรองรัฐมนตรี แต่เป็นเพราะว่าจำนวนมือในสภายิ่งมาก ยิ่งเท่ากับโอกาสที่เราจะทำสิ่งที่เราสัญญากับประชาชนไว้สำเร็จ”

“ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า กับ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม สอง พ.ร.บ.นี้เป็น พ.ร.บ.ที่เสนอโดยพรรคก้าวไกล เป็นสอง พ.ร.บ.ที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ และใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2562”

“เมื่อจบการเลือกตั้ง เราเป็นฝ่ายค้าน ทุกพรรคการเมืองจะคิดเหมือนกันหมดว่าถ้าเป็นฝ่ายค้านคุณก็จบแล้ว ไม่สามารถส่งมอบนโยบายได้ แต่ว่าอนาคตใหม่ไม่เป็นแบบนั้น เราพยายามที่จะผลักดันและนำเสนอกฎหมาย แล้วก็ต้องชื่นชมความสามารถของ ส.ส.พรรคก้าวไกล ชื่นชมสปิริตของ ส.ส.พรรคอื่นด้วย ที่สุดท้ายแล้วตัดสินใจใช้สามัญสำนึกในการตัดสินใจโหวตกฎหมายมากกว่ามติพรรคเสียที ตามสามัญสำนึกว่ากฎหมายนี้ดีกับประชาชนแล้วควรจะผ่าน”

“พูดอย่างตรงไปตรงมา สมมุติว่าเพื่อไทยกับก้าวไกลรวมกันสองพรรคเกิน 250 ที่สุราก้าวหน้ากับสมรสเท่าเทียมผ่าน อย่าเพิ่งดีใจว่าผ่านนะ เพิ่งผ่านแค่วาระที่ 1 วาระที่ 2 วาระที่จะผ่านจริงๆ วาระ 3 ถึงจะเรียกว่ากฎหมายผ่าน แต่แน่นอนมันมาไกลที่สุดแล้ว ไม่ทราบว่าพรรคก้าวไกลเขาทำงานกันไปถึงไหนในการไปพูดคุยกับเพื่อน ส.ส.ในสภาที่จะทำให้ผ่านอีกทั้งสองวาระ แต่ว่าเราอยู่ในการเมืองมาเยอะ เราก็ไม่ไว้วางใจง่ายๆ ว่าจะผ่าน”

“ก็คาดหวังว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยและก้าวไกล สองพรรคจะรวมกันแล้วเกิน 250 ถ้าสองกฎหมายนี้ผ่าน เชื่อว่าเอาง่ายๆ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร หรือว่าแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดอื่นๆ เรื่องที่มานายกฯ การกระจายอำนาจ กฎหมายฉบับสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นสมรสเท่าเทียม สุราก้าวหน้า ไปจนถึงร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปลดล็อกท้องถิ่น ซึ่งดูแล้วกลัวว่าจะไม่ทันสภานี้เหมือนกัน ก็คาดหวังว่าในการเลือกตั้งปี 2566 จะมีโอกาสมากกว่า” ช่อ พรรณิการ์ กล่าว

 

ประเด็นการอยากเห็น “เพื่อไทย-ก้าวไกล” จับมือกันแลนด์สไลด์ ก็เป็นเรื่องที่ “รังสิมันต์ โรม” โฆษกพรรคก้าวไกล เห็นด้วยและเคยยืนยันในรายการ The Politics ไปก่อนหน้านี้ ว่าก้าวไกลพร้อมจับมือกับพรรคที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เพื่อขึ้นไปเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาล และเข้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ

“ณ วันนี้ก้าวไกลเรารู้หมด เราเข้าใจในสิ่งที่ถ้าเราเป็นรัฐบาลเราต้องเข้าใจอะไร วันนี้เราเข้าใจ ดังนั้น ผมเชื่อว่าตลอดประสบการณ์ที่ผ่านมาเรามีความพร้อม ในการที่จะเดินหน้าเพื่อที่จะไปสู่การเป็นรัฐบาล แน่นอนเราอาจจะต้องจับมือกับพรรคการเมืองอื่น หรือว่าถ้าเกิดฟลุกได้เยอะก็เป็นเรื่องที่ดี แต่เราก็ยอมรับว่าภายใต้สภาพแห่งความเป็นจริง มีความเป็นไปได้สูงที่เราคงต้องจับมือกับพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ในลักษณะเดียวกันเพื่อตั้งรัฐบาล”

“สิ่งที่พิสูจน์ได้ดีมากคือการที่เราสามารถผ่านกฎหมายอย่างสุราก้าวหน้าแล้วก็สมรสเท่าเทียม อย่างน้อยๆ สองฉบับ ถ้าเราเป็นรัฐบาลเราจะทำได้มากกว่านี้หรือเปล่า แล้วยังมีอีกหลายฉบับหลายเรื่องที่ถ้าเราสามารถผลักดันได้ จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศได้ทันที” รังสิมันต์ โรม กล่าว

ท้ายที่สุด หากการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองเกิดขึ้นจริง “เพื่อไทย” จับมือ “ก้าวไกล” ผนึกกำลังกับพรรคร่วมที่มีอุดมการณ์เดียวกัน พลิกขึ้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ สามารถเข้าไปแก้ไขร่างกฎหมายต่างๆ ตามที่สัญญาไว้กับประชาชน “ช่อ พรรณิการ์” มองว่าความสุขแบบที่กำลังเกิดขึ้นกับคนกรุงเทพฯ ก็อาจจะเกิดขึ้นในระดับชาติได้เช่นกัน