สงครามยูเครนในไทย : มุมมองฝ่ายขวาจัดไทย/ยุทธบทความ สุรชาติ บำรุงสุข

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

ยุทธบทความ

สุรชาติ บำรุงสุข

 

สงครามยูเครนในไทย

: มุมมองฝ่ายขวาจัดไทย

“เราจะต้องเรียนรู้ที่จะตรวจสอบและตัดสินข้อมูลที่อยู่เบื้องหน้าเรา… ใครก็ตามที่ชอบกดทับความจริง จุดกำเนิดทางความคิดเขาผู้นั้นก็จะพิกลพิการตามไปด้วย”

ลิดเดล ฮาร์ท (นักยุทธศาสตร์ชาวอังกฤษ)

 

ในขณะที่โลกช่วงปลายปี 2019 ต่อเนื่องเข้าปี 2020 จนถึงปี 2022 ในปัจจุบัน ยังต้องเผชิญวิกฤตชุดใหญ่อันเป็นผลจาก “สงครามโรคระบาด” ที่เกิดจากเชื้อโควิด-19 และยังไม่มีแนวโน้มว่าจะสิ้นสุดลงด้วยการกลายพันธุ์เป็นโอมิครอน

แต่แล้วโลกกลับต้องเผชิญกับวิกฤตใหญ่อีกชุดที่เป็น “สงครามตามแบบขนาดใหญ่” ในการที่ประธานาธิบดีปูตินตัดสินใจส่งกำลังรบของรัสเซียบุกเข้าสู่พื้นที่ของยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนสงครามดังกล่าวถูกเรียกว่า “สงครามของปูติน”

ปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้นำไปสู่สงครามขนาดใหญ่ของรัฐยุโรปอย่างคาดไม่ถึง จนต้องถือว่าเป็นสงครามใหญ่ที่สุดที่รัฐในยุโรปต้องเผชิญนับตั้งแต่การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา แม้ในด้านหนึ่งสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะดูเป็นเพียง “สงครามของรัฐยุโรป”

ในอีกด้านสงครามชุดนี้กลับส่งผลกระทบต่อโลกอย่างกว้างขวาง ถึงกับมีการเปรียบว่าสงครามยูเครนเป็น “สงครามที่เปลี่ยนโลก”

โลกกำลังถูกเปลี่ยนจากสงครามโรคระบาดที่ยังไม่จบลง โลกกำลังถูกเปลี่ยนอีกครั้งจากสงครามยูเครนที่ก็ยังไม่จบเช่นกัน และโลกชุดนี้ได้ก้าวเข้ามาในสังคมไทยด้วย

 

ข้อถกเถียงสงครามยูเครน

การกำเนิดสงครามใหญ่ทุกครั้งที่นำไปสู่ข้อถกเถียงทางการเมืองเสมอ และในยุคโลกาภิวัตน์ของศตวรรษที่ 21 ข้อถกเถียงเช่นนี้ได้เกิดในสังคมไทยด้วย เพราะด้วยกระแสโลกาภิวัตน์ที่พัดไปทั่วทุกภูมิภาค สงครามยูเครนจึงไม่ใช่เป็นเพียงสงครามที่เกิดในพื้นที่ทางภูมิรัฐศาสตร์ของยูเครนเท่านั้น หากเป็นสงครามที่นำไปสู่ข้อถกเถียงต่างๆ โดยเฉพาะมุมมองต่อรัฐมหาอำนาจ ทั้งสหรัฐ รัสเซีย และจีน

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สังคมไทยจะถูกดึงเข้าสู่ข้อถกเถียงเช่นนี้ด้วย

ขณะเดียวกันก็เห็นถึงกระแสการเมืองไทยในกระแสสงครามยูเครน ซึ่งทัศนะของฝ่ายขวาจัดไทยที่มีแนวโน้มไปในทางสนับสนุนรัสเซีย

จนกลายเป็นข้อสังเกตถึงการเปลี่ยน “จุดยืนทางการเมือง” ของฝ่ายขวาไทย โดยเฉพาะในกลุ่มขวาที่ถูกเรียกว่า “สลิ่ม” ซึ่งมีท่าทีเป็น “กองเชียร์รัสเซีย” และเป็น “ปฏิปักษ์อเมริกัน”

และว่าที่จริงก็รวมถึงการมีท่าที “ชื่นชมจีน” อย่างชัดเจนมาโดยตลอดด้วย

อีกทั้งอาจจะต้องยอมรับว่า ฝ่ายประชาธิปไตยคัดค้าน “สงครามของปูติน” และออกไปในทางสนับสนุนการ “ต่อสู้ของยูเครน”

อย่างไรก็ตาม บทความนี้อยากจะขอเริ่มต้นด้วยข้อสังเกตในบริบทของไทยว่า การตัดสินความชอบธรรมของคู่สงคราม ขึ้นอยู่กับทัศนะทางการเมืองภายในของไทยอย่างมาก

ซึ่งว่าที่จริงแล้ว การตัดสินเช่นนี้สะท้อนถึง จุดยืนและมุมมองของคนสังคมไทยที่ผูกอยู่กับปัญหาภายในมากกว่าปัญหาในเวทีโลก

หากเราลองสำรวจอย่างหยาบๆ แล้ว เราอาจจะพบว่าฝ่ายอำนาจนิยมและอนุรักษนิยม โดยเฉพาะกลุ่มการเมืองที่ถูกเรียกว่า “สลิ่ม” ซึ่งมีแนวโน้มในการสนับสนุน “สงครามของปูติน” และเชื่อว่า รัสเซียมีความชอบธรรมในการบุกยูเครน

แต่ฝ่ายประชาธิปไตยมองว่าเป็น “สงครามที่ไม่เป็นธรรมของรัฐเผด็จการ”

การเมืองภายในแบ่งขั้วทางการเมืองในสังคมไทยเช่นไร… การเมืองภายนอกก็แยกขั้วทางการเมืองในสังคมไทยเช่นนั้นด้วย

 

จุดยืนการเมืองกับสงคราม

สิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเป็นผลพวงจากการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในไทย ที่ทำให้คนในปีกอำนาจนิยมและอนุรักษนิยมตกเข้าไปอยู่วังวนในกระแสต่อต้านตะวันตก จนกลายเป็นฝ่ายต่อต้านอเมริกันไปอย่างไม่คาดคิด ทั้งที่ในอดีตพวกเขายึดโยงอยู่กับสหรัฐอย่างแนบแน่น

ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรเลยที่เมื่อเกิดสงครามยูเครนขึ้น คนเหล่านี้จะมีทัศนะที่โน้มเอียงไปทางฝั่งรัสเซีย จนเหมือนเป็นผู้สนับสนุน “สงครามของปูติน” อย่างไม่น่าเชื่อ

หรืออีกนัยหนึ่งพวกเขามีจุดยืนเป็น “สายเหยี่ยว” และไม่สนใจต่อปัญหามนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่สนใจต่อการโจมตีต่อเป้าหมายในยูเครนอย่างไม่จำแนก ซึ่งได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในยูเครนอย่างมาก

ในภาวะเช่นนี้ พวกเขาไม่ใส่ใจว่าหายนะใหญ่ที่มาพร้อมกับสงครามคือ ความตาย ความสูญเสีย การพลัดพราก…

สงครามยูเครนนำไปสู่การเกิดคลื่นของผู้อพยพชุดใหญ่ของยุโรปหลังจากที่ยุโรปต้องเผชิญกับ “วิกฤตผู้อพยพ” ครั้งใหญ่ในปี 2015 มาแล้ว ต่างกันตรงที่ในปี 2015 เป็นผู้อพยพที่มาจากโลกมุสลิม แต่ครั้งนี้เป็นผู้อพยพที่เกิดจากปัญหาสงครามภายในของยุโรปเอง และเป็นการอพยพที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในยุคปัจจุบัน ดังตัวเลขของสหประชาชาติว่า จากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ จนถึงวันที่ 15 เมษายน มีผู้อพยพชาวยูเครนเป็นจำนวนมากถึง 4.84 ล้านคน

ประเด็นสำคัญที่สุดในกรณีนี้ก็คือ ฝ่ายขวาไทยละเลยหัวใจของปัญหา… สงครามเกิดจากการที่รัฐใหญ่ใช้กำลังทางทหารบุกรัฐเล็ก เพื่อการขยายดินแดนและ/หรือเพื่อสร้างเขตอิทธิพล หรือมีความหมายถึงสงครามเพื่อนำไปสู่เส้นเขตแดนของรัฐ

ซึ่งการปรับเปลี่ยนเส้นเขตแดนด้วยมาตรการสงคราม น่าจะเป็นหลักคิดที่ถูกยกเลิกไปพร้อมกับการสิ้นสุดของศตวรรษที่แล้ว

สงครามยูเครนในบริบทเช่นนี้ก็คือ การใช้เครื่องมือทางทหารของรัสเซียเพื่อการเข้าควบคุมยูเครนทั้งประเทศ อันจะนำไปสู่ “การเปลี่ยนแปลงระบอบ” (regime change) เพื่อจัดตั้งรัฐบาลนิยมรัสเซีย

ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนสถานะให้ยูเครนเป็น “รัฐในอารักขา” ของรัสเซีย

คือเปลี่ยนให้เป็นในแบบของเบลารุส และดำเนินนโยบายไปในทางเดียวกับรัสเซีย โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับฝ่ายตะวันตก

 

อำนาจ vs ธรรม

การกระทำเช่นนี้ของรัสเซียย่อมส่งผลให้เกิด “สงครามที่ไม่ชอบธรรม” ทั้งยังชัดเจนว่าการกระทำของรัสเซียเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะหากเวทีโลกอนุญาตให้รัฐใหญ่ใช้กำลังเพื่อยึดครองรัฐเล็กแล้ว ย่อมเท่ากับเรายอมรับถึงภาวะ “อำนาจคือธรรม”

และจะทำให้เรายอมรับว่าผู้ที่แข็งแรงกว่าย่อมมีสิทธิที่จะจัดการกับผู้ที่อ่อนแอกว่าด้วยกำลัง โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงประเด็น “ความชอบธรรม” ในระบบระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ การยอมรับใน “หลักการอำนาจคือธรรม” ในเวทีโลกจึงเสมือนหนึ่งเป็นการพารัฐในโลกสมัยใหม่กลับเข้าสู่ยุคโบราณของ “การสร้างจักรวรรดิ” และจักรวรรดิใหญ่สามารถขยายดินแดนออกไปอย่างไม่มีข้อจำกัดภายใต้อำนาจทางทหารที่มีอยู่ ซึ่งประวัติศาสตร์ในอดีตได้ชี้ให้เห็นว่า แว่นแคว้นเล็กๆ ที่ไม่ได้มีอำนาจทางทหารที่เข้มแข็ง ย่อมไม่สามารถต้านทานการขยายจักรวรรดิด้วยกำลังทหารได้เลย

แต่ปัจจุบันเป็นโลกของศตวรรษที่ 21 และยุคจักรวรรดิได้จบสิ้นไปแล้ว

และสำหรับเวทีโลกสมัยใหม่นั้น การใช้กำลังภายใต้แนวคิดของ “ลัทธิขยายดินแดน” ไม่ใช่สิ่งที่ประชาคมระหว่างประเทศยอมรับ

และถือว่ารัฐที่กระทำเช่นนั้น ย่อมสมควรจะถูก “ลงโทษ” เพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดอธิปไตยของรัฐเล็กที่ไม่สามารถคุ้มครองตัวเองได้

หลักการเช่นนี้ถือเป็นกติกาของเวทีระหว่างประเทศที่ไม่ยอมรับต่อพฤติกรรมการรุกรานที่เกิดจากการใช้กำลังของรัฐใหญ่ และเป็นหลักการที่ให้ความคุ้มครองต่อการดำรงไว้ซึ่งเอกราชและบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐที่จะถูกละเมิดมิได้

ฉะนั้น ไม่ว่าประธานาธิบดีปูตินจะกล่าวอ้างถึงกรรมสิทธิ์ของจักรวรรดิรัสเซียในยุคโบราณที่เคยครอบครองพื้นที่ของรัฐยูเครนอย่างไรก็ตาม

แต่ความจริงในปัจจุบันที่ต้องตระหนักก็คือ ยูเครนในโลกสมัยใหม่มีสถานะเป็น “รัฐเอกราช” มาตั้งแต่การสิ้นสุดของยุคสงครามเย็นในปี 1991 แล้ว การดำรงความเป็นรัฐเอกราชที่แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตมานานถึง 30 ปี ย่อมทำให้ประชาชนชาวยูเครนมี “สิทธิในการกำหนดใจตนเอง” ที่ต้องการความเป็นเอกราชของยูเครน มากกว่าการหวนคืนกลับสู่การเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอีกครั้ง

หากเรายอมรับในหลักการพื้นฐานเช่นนี้แล้ว เราย่อมกล่าวได้อย่าง “เต็มปากเต็มคำ” ว่า หากไทยถูกรุกรานจากรัฐมหาอำนาจใหญ่แล้ว ประชาชนไทยย่อมมี “สิทธิในการกำหนดใจตนเอง” ที่จะเป็นรัฐเอกราช และมีสิทธิเต็มที่ที่จะจับอาวุธเข้าต่อสู้กับรัฐผู้รุกรานเพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ

ซึ่งปรากฏการณ์ที่ชาวยูเครนตัดสินใจต่อสู้ แม้การต่อสู้เช่นนี้อาจจะมีสถานะที่เสียเปรียบในทางทหารอย่างมาก เพราะอำนาจทางทหารของรัสเซียนั้นเหนือกว่ายูเครนในทุกมิติ

แต่ด้วยแรงใจที่มุ่งมั่นของประชาชนในการต่อต้านผู้รุกรานแล้ว

วันนี้ชาวยูเครนชนะใจชาวโลกที่รักเสรีภาพและประชาธิปไตย

ถ้าวันนี้ เราเชื่อว่าเอกราชที่สิ่งที่คุ้มค่าแก่การปกป้องแล้ว เราควรต้องสนับสนุนการต่อสู้อย่างกล้าหาญของชาวยูเครน… ความรักเอกราชของชาวยูเครนไม่ใช่สิ่งที่เป็นความผิด การรุกรานของรัสเซียต่างหากที่ผิด หรือสังคมไทยจะยกย่องรัฐผู้รุกราน

 

ขวาไทย-สงครามรัสเซีย

แต่ด้วยกระแสต่อต้านอเมริกันที่ถูกปลุกอย่างต่อเนื่องในไทย โดยเฉพาะในช่วงหลังรัฐประหาร 2014 (พ.ศ.2557) ทำให้ฝ่ายอำนาจนิยม-อนุรักษนิยมไทยพร้อมที่เทใจให้กับรัสเซียอย่างเต็มที่ เช่นที่พวกเขายกใจให้จีนจนหมดจากการแสดงท่าทีสนับสนุนรัฐประหารที่กรุงเทพฯ มาแล้ว

ดังนั้น วันนี้จึงไม่แปลกที่พวกเขากลายเป็น “สายเหยี่ยว” ที่สนับสนุนสงครามของรัสเซียอย่างไม่ปิดปัง

อย่างไรก็ตาม ความไม่ชอบสหรัฐ ไม่ควรนำมาใช้เป็นข้ออ้างที่จะสนับสนุนสงครามที่ไม่เป็นธรรมของรัสเซีย จนละเลยประเด็นทางด้านมนุษยธรรม

แม้ในอีกส่วนพวกเขาเหล่านี้ดูจะเชื่อไปไกลว่าโลกของฝ่ายตะวันตกกำลังปิดฉากลง และโลกของฝ่ายตะวันออกที่นำโดยจีนและรัสเซียกำลังเข้าแทนที่ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว “สงครามชิงความเป็นใหญ่ของรัฐมหาอำนาจ” เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง และรัฐมหาอำนาจตะวันตกก็มิได้สิ้นพลังขับเคลื่อนในเวทีโลกเช่นที่พวกเขาวาดภาพไว้ในใจ

ภายใต้สถานการณ์โลกชุดใหม่เช่นนี้ ไทยคงต้องตระหนักว่าโลกกำลังเข้าสู่ “สงครามเย็นในศตวรรษที่ 21” และการเป็นโดมิโนที่ไม่ล้มในสงครามเย็นครั้งก่อนไม่ใช่หลักประกันว่าเราจะสามารถเดินทางผ่านสงครามครั้งนี้ไปได้ โดยไม่ต้องเรียนรู้ถึงความซับซ้อนที่กำลังเกิดขึ้นจากสงครามชุดใหม่ในเวทีโลก

อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับความจริงว่าความเกลียดชังตะวันตกที่ถูกปลุกจากผลพวงการรัฐประหารในไทย ทำให้ “โลกทัศน์ของขวาจัดไทย” กลายเป็นเพียงกองเชียร์ “สงครามของปูติน” โดยไม่ต้องคิดถึงประเด็นแวดล้อมอื่นใด

การมองสงครามภายนอกของฝ่ายขวาจัดไทยจึงผูกอยู่กับมุมมองการเมืองภายใน มากกว่าจะมองจากสถานการณ์จริงในเวทีโลก!