ฉาวโฉ่ โปลิศจับตำรวจ อุ้มรีดทรัพย์นักพนัน วิกฤตศรัทธาสีกากีซ้ำซาก/โล่เงิน

(ซ้าย) พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.น. (ขวา) พ.ต.ต.คม รอดเภา สว. (สอบสวน) กก.3 บก.สอท.5

โล่เงิน

 

ฉาวโฉ่ โปลิศจับตำรวจ

อุ้มรีดทรัพย์นักพนัน

วิกฤตศรัทธาสีกากีซ้ำซาก

 

ตอกย้ำวิกฤตศรัทธาซ้ำซากในความรับรู้ของคนไทยที่มีต่อองค์กรสีกากี

โดยเฉพาะการกระทำหลายๆ กรณี แทนที่จะเป็น “ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์” กลับเป็น “มิจฉาชีพ” เสียเอง

ล่าสุดคดีอุ้มรีดตบทรัพย์ 6.5 แสนบาท 2 ผัวเมียนักพนันออนไลน์

“บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.เคยกล่าวไว้ว่า กรณีที่ตำรวจกระทำความผิด “นิ้วไหนไม่ดีต้องตัดทิ้ง”

จึงนำมาสู่การให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดย พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เซ็นคำสั่งให้ พ.ต.ต.คม รอดเภา สว. (สอบสวน) กก.3 บก.สอท.5 และ ส.ต.ท.อภิสิทธิ์ ฉาสันเทียะ ผู้บังคับหมู่กลุ่มงานป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีกองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ออกจากราชการไว้ก่อน

จากการถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอย่างร้ายแรง โดยเป็นผู้ต้องหาในคดีความผิดฐานร่วมกันทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพโดยกระทำความผิดกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว หรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมกันกรรโชกทรัพย์

 

เหตุการณ์อุกอาจนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10 มีนาคม กลุ่มชายฉกรรจ์ขับรถยนต์หลายคันบุกอุ้มสามีภรรยา น.ส.กาญจนาภรณ์ ช่วงกรุด และนายธวัชชัย สร้อยทอง และบุตร ออกจากร้านอาหารในปั๊มน้ำมันเพียว ระหว่างซอยอุดมสุข 11-13

ชายกลุ่มนี้อ้างตัวเป็นตำรวจไซเบอร์ พยายามขอตรวจค้น และเจรจาขอเงินที่เล่นพนันออนไลน์มาได้เกือบ 2 ล้านบาทคืน ขู่ว่าถ้าไม่คืนจะดำเนินคดี

ภรรยาห่วงความปลอดภัยสามีและลูก จึงยอมคืนเงิน 400,000 บาท พร้อมเหรียญหลวงพ่อพัฒน์ วัดห้วยด้วน เนื้อทองคำ 1 องค์ มูลค่า 250,000 บาท รวม 650,000 บาท จากนั้นไปแจ้งความที่ สน.บางนา เมื่อ 25 มีนาคม

เรื่องอื้อฉาวนี้กลายเป็นข่าวครึกโครมหลัง “ทนายตั้ม” นายษิทรา เบี้ยบังเกิด นำไปโพสต์ในเฟซบุ๊กของตัวเมื่อ 30 มีนาคม จนสะเทือน “สำนักปทุมวัน”

 

พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานสอบสวน ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการที่ 4 ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ได้ลงไปดูคดีนี้ด้วยตัวเองและคลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว

“ผมขอยืนยันพฤติการณ์ทวงเงินลักษณะนี้เป็นความผิดเพราะตำรวจไม่มีหน้าที่รับใช้เว็บพนัน ดังนั้น ต้องดำเนินคดีตามกฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุทั้งหมด” รอง ผบช.น.ระบุ

ต่อมามีการขออนุมัติศาลมีนบุรีออกหมายค้นบ้านหลังหนึ่ง แขวงบางชัน เขตคลองสามวา กทม. เป็นบริษัท รปภ.ของนายตำรวจที่ร่วมขบวนการนี้ ได้อายัดรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์สีดำ รถใช้ก่อเหตุ และประเดิมเสนอศาลขอออก 4 หมายจับ เป็นบุคคลที่ปรากฏในภาพจากกล้องวงจรปิดระหว่างก่อเหตุ

หนึ่งในนั้นมี “สารวัตรคม” อยู่ด้วย

 

เช้าตรู่วันที่ 2 เมษายน พ.ต.ต.คม หนึ่งในผู้ต้องหา ได้เข้ามอบตัวที่ สน.บางนา พล.ต.ต.ไตรรงค์ควบคุมการสอบสวนด้วยตัวเอง

จากนั้นนำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญาพระโขนง แต่ พ.ต.ต.คมมีท่าทีขัดขืน พร้อมงัดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกวิดีโอตำรวจหลายสิบนายที่จะเข้ามาควบคุมตนเองไปฝากขัง

เจ้าตัวอ้างว่ามารับทราบข้อกล่าวหา แต่กลับจะนำตัวไปฝากขังศาล ถ้าจะไปฝากขังขอเดินทางไปเองตามสิทธิ

ขณะนั้น พ.ต.อ.มนต์เสก ตระกูลพานิชย์ ผกก.สน.บางนา ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายป้องกันและปราบปรามในชุดเครื่องแบบ ดันตัว พ.ต.ต.คมกลับเข้าไปในห้องพนักงานสอบสวนเพื่อเจรจาอีกครั้ง

ผ่านไปสักครู่ “สารวัตรผู้ต้องหา” เดินออกจากห้องพนักงานสอบสวน ในลักษณะที่ไม่ได้ถูกควบคุมตัว พร้อมกล่าวว่า ขอใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 39 ตำรวจบางนาทำให้เสียเสรีภาพ พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา ได้มารับทราบข้อกล่าวหาและขอให้การปฏิเสธ เพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ยืนยันต้องการไปศาลเองตามสิทธิ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134

ชุดสืบสวน สน.บางนาควบคุมตัวบอกให้สารวัตรคม “ใจเย็นๆ” เจ้าตัวฮึดฮัดไม่ยอมให้คุมตัวขึ้นรถตู้ไปศาล แต่ตำรวจได้พยายามนำตัวขึ้นรถตู้จนชุลมุน ทุลักทุเลเต็มที ผกก.บางนาต้องเข้าไปช่วยด้วย จนเกือบตกบันไดหน้า สน. สุดท้ายสามารถดันตัวขึ้นรถตู้ไปได้

พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องขอฝากขังกล่าวหาว่า “ร่วมกันทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว หรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมกันกรรโชกทรัพย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรค 2, 210, 337 และมาตรา 83

พฤติการณ์คือ ผู้ต้องหากับพวกได้จับบุคคลมาข่มขืนใจให้จำยอม โดยใช้กำลังและกรรโชกทรัพย์ จนผู้ถูกจับตัวมาจำยอมมอบทรัพย์สิน ผู้ต้องหาปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ขอฝากขังเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 2-13 เมษายน และขอคัดค้านการปล่อยชั่วคราว เกรงจะยุ่งเหยิงพยาน

ศาลอนุญาตให้ฝากขัง ผู้ต้องหาได้ขอปล่อยชั่วคราว แต่ศาลยกคำร้อง ออกหมายขังส่งนอนคุกเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

 

สําหรับ พ.ต.ต.คม ผู้ต้องหาคดีนี้ เป็นนายร้อยอบรม จบนิติศาสตรบัณฑิต เมื่อครั้งยศ ร.ต.ท. เป็นรอง สว. (สอบสวน) สน.ลุมพินี ตกเป็นข่าวครึกโครม ถูกตำรวจ สภ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี จับกุมหลังร่วมกับจ่าสิบเอกทหารม้า และพวกรวม 7 คน พร้อมอาวุธปืนข่มขู่หวังยึดวินรถตู้บางบัวทอง-เซ็นทรัลลาดพร้าว มาดูแลที่ปั๊มแก๊สย่านบางบัวทอง ถูกดำเนินคดีครอบครองอาวุธปืนไม่ได้รับอนุญาต และพาไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร และทำให้เสียทรัพย์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2556

ต่อมาเลื่อนตำแหน่งเป็น ร.ต.อ. ตำแหน่งรอง สว.กก.สส.บก.น.3 ก่อนขยับขึ้นเป็น พ.ต.ต. ตำแหน่ง สว. (สอบสวน) บก.สอท.5 มีหน้าที่สอบสวน อายัดบัญชีผู้ต้องหา ผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทางเทคโนโลยีมาตรวจสอบ

ต่อมาพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน ทยอยขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาที่เหลืออีก 9 ราย

หนึ่งในนั้นมี ส.ต.ท.อภิสิทธิ์ ฉาสันเทียะ ร่วม โดนข้อกล่าวหาเดียวกับ “สารวัตรคม”

ปรากฏว่า 3 ทุ่มวันที่ 2 เมษายน ส.ต.ท.อภิสิทธิ์ได้มอบตัวพร้อมให้การปฏิเสธ ตำรวจได้นำตัวฝากขังค้านประกันตัว ปรากฏศาลอนุญาตฝากขัง และไม่ให้ประกันตัว

ส่วนผู้ที่ถูกออกหมายจับที่เหลือได้ทยอยมอบตัว

กรณีนี้ถือว่าพนักงานสอบสวน สน.บางนาทำคดีได้รวดเร็ว เพราะมี พล.ต.ต.ไตรรงค์ลงมาบัญชาการเอง

ผ่านไปแค่ 2 วันหลังมีข่าวแพร่ในโซเชียลรู้ตัวผู้กระทำผิดแล้ว

สกัดการความขาดมั่นใจไร้ที่พึ่งประชาชน ก่อนลุกลามเป็นวิกฤตศรัทธากระบวนการยุติธรรม “ต้นธาร” ไปได้บ้าง