กฎหมายลูก…ต้องดีไซน์ โปรย้ายค่าย…ก็จำเป็น/หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว มุกดา สุวรรณชาติ

มุกดา สุวรรณชาติ

หลักศิลากลางน้ำเชี่ยว

มุกดา สุวรรณชาติ

 

กฎหมายลูก…ต้องดีไซน์

โปรย้ายค่าย…ก็จำเป็น

 

การเมืองภายในประเทศทุกกลุ่มจะมุ่งไปสู่การเลือกตั้ง การต่อสู้ทางการเมืองที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องใหญ่ๆ ให้เป็นประชาธิปไตย แม้ถูกกำหนดเป็นเป้าหมายแต่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร

ในทางยุทธศาสตร์ถือว่าฝ่ายที่ต้องการดำรงระบอบอํามาตยาธิปไตยทำได้สำเร็จแล้ว

เพราะสามารถผลักดันให้ฝ่ายประชาธิปไตยต้องเข้าไปอยู่ในเกมการเลือกตั้งที่มี ส.ว. 250 เลือกนายกฯ และก็มัวแต่จะต้องแก้ไขในทางยุทธวิธีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ทั้งเรื่องระเบียบ และขั้นตอน อีกทั้งระเบียบเกี่ยวกับพรรคการเมือง

 

สถานการณ์การเมืองเปลี่ยนเร็ว

ต้องเปลี่ยนยุทธวิธี

ความขัดแย้งในช่วงนี้จะมุ่งไปสู่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่จะลงรายละเอียดถึงวิธีการเลือกตั้งด้วยบัตร 2 ใบ วิธีนับคะแนนเพื่อจัดสรรจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์

การเปลี่ยนมาใช้วิธีเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบมาจากแรงผลักดันหลายฝ่ายตามสถานการณ์ เมื่อกลางปี 2564

เช่น พรรคประชาธิปัตย์เลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบจะมีโอกาสฟื้นกลับขึ้นมา

พรรคเพื่อไทยก็เห็นว่านี่เป็นข้อได้เปรียบที่ตัวเองเคยชนะมาแล้วหลายครั้ง

และช่วงเวลานั้นพรรคพลังประชารัฐก็ดูเติบใหญ่ขึ้นมา คิดว่าตัวเองจะกลายเป็นพรรคใหญ่จึงหันไปสนับสนุนการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ

กลุ่มฝ่ายอนุรักษนิยมมองว่าการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวในปี 2562 พรรคก้าวไกลได้ประโยชน์อย่างมาก จึงมีใบสั่งให้สกัดดาวรุ่งโดยเปลี่ยนเป็นบัตร 2 ใบเพื่อให้พรรคก้าวไกลได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์น้อยลง 5 เท่า

แต่หลังจากผ่านการแก้รัฐธรรมนูญไปแล้วก็พบว่าพรรคพลังประชารัฐกำลังจะแตกออกเป็นพรรคขนาดกลางและพรรคเล็ก ที่จะได้ประโยชน์เต็มๆ ก็คือพรรคเพื่อไทยถึงขนาดมีข่าวว่าอาจเกิดปรากฏการณ์ชนะแบบแลนด์สไลด์

ยุทธศาสตร์การเมืองในการเลือกตั้งของฝ่ายรัฐบาลและกลุ่มอนุรักษนิยมทั้งหลายจึงเปลี่ยนไป จำเป็นต้องหันมาสกัดพรรคเพื่อไทยไม่ให้เติบใหญ่จนเกินไป

 

ดีไซน์กติกาการเลือกตั้งเพื่อสกัดพรรคเพื่อไทย

เมื่อช่วงค่ำวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ประชุมรัฐสภาได้มีมติรับร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ทั้ง 4 ฉบับ ประกอบด้วย

ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้งฉบับของคณะรัฐมนตรี รับหลักการ 609 เสียง ต่อ 16 เสียง และงดออกเสียง 10 เสียง

ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้งฉบับของพรรคเพื่อไทย นำเสนอโดยนายชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และคณะ รับหลักการ 420 เสียง ต่อ 205 เสียง และงดออกเสียง 14 เสียง

ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้งฉบับของพรรคร่วมรัฐบาล นำเสนอโดยนายวิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ กับคณะ รับหลักการ 598 เสียง ต่อ 26 เสียง และงดออกเสียยง 12 เสียง

ร่าง พ.ร.ป.เลือกตั้งฉบับของพรรคก้าวไกล นำเสนอโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กับคณะ รับหลักการ 418 เสียง ต่อ 202 เสียง และงดออกเสียง 15 เสียง

ส่วนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ การโหวตรับร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ร่างของฝ่ายค้านถูกคว่ำทั้งหมด 3 ฉบับ

 

พรรคก้าวไกล

เคยเสนอแบบ MMP แล้วก็ถอดใจ

พรรคก้าวไกลเห็นด้วยกับการปรับให้มีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ

แต่ไม่เห็นด้วยกับการคำนวณคะแนนแบบรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่มองว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อ คือของแถมของ ส.ส.เขต และจะทำให้ผู้ชนะกินรวบ ซึ่งพรรคสนับสนุนการคำนวณคะแนนแบบ MMP เพื่อให้คะแนนบัญชีรายชื่อเป็นหลักของการคำนวณหา ส.ส.พึงมี เพราะจะทำให้พรรคการเมืองสู้กันด้วยนโยบาย ประชาชนได้ประโยชน์

แต่การสู้ของพรรคก้าวไกลไม่ชนะ จึงต้องมาปรับยุทธศาสตร์การสู้ในระบบเลือกตั้งใหม่ โดยเน้นบทบาทของ ส.ส.เขต

ส่วนที่มีคนบอกว่าจะขัดกับถ้อยคำตามมาตรา 91 นั้น มาตรา 91 เขียนไว้ไม่ชัด แต่สิ่งที่เป็นติ่งอยู่คือ มาตรา 93 และ 94 ได้บัญญัติไว้ว่าในการเลือกตั้งทั่วไปจะต้องมี ส.ส.พึงมี ดังนั้น จึงมีข้อความที่จะต้องตีความว่าจะเป็นแบบไหนได้ ระหว่างมี ส.ส.พึงมี กับไม่มี ส.ส.พึงมีแบบคู่ขนานปี 2540 ซึ่งจะต้องไปตีความกันในชั้น กมธ. และคงจะต้องมีการอภิปรายในชั้นรับหลักการวาระ 1 ว่าจะเป็นอย่างไรกันแน่ และไปตีความในชั้น กมธ.อีก แล้วมาสู้กันในวาระ 2-3 ในสภาอีกครั้ง

แต่ไม่ว่า กมธ.จะมีความเห็นอย่างไร พรรคก้าวไกลก็ไม่ถอย เราพร้อมแข่งขันทุกกติกา

 

แต่จะมีอภินิหารจาก

กรรมาธิการมาช่วยให้เป็นจริง

ส่วนเรื่อง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ตอนแปรญัตติในวาระ 2 กรรมาธิการส่วนใหญ่เป็นของฝ่ายรัฐบาลต้องหาทางผลักดันให้ใช้วิธีคิดคะแนนแบบผสม

คือ จะต้องหาจำนวนสสพึงมีของแต่ละพรรคการเมืองขึ้นมาก่อน แบบปี 2562 ซึ่งคิดว่าพรรคส่วนใหญ่คงเห็นด้วย

แต่ใช้คะแนนที่ได้รับเลือกจากบัตรปาร์ตี้ลิสต์ทั่วประเทศของแต่ละพรรค เป็นตัวกำหนดสัดส่วนว่าจะได้กี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบคะแนนรวมของผู้มาลงคะแนน Party List ทั้งประเทศ เมื่อหารด้วย 500 ตามจำนวน ส.ส.ทั้งสภา

ถ้ามีคนมาลงคะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์ทั่วประเทศประมาณ 36 ล้านคนแสดงว่า ส.ส. 1 คนจะมีเสียงสนับสนุนจากประชาชนประมาณ 72,000 คะแนน

ดังนั้น พรรคที่มีผู้ลงคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ถึง 7,200,000 คะแนน ควรจะได้ ส.ส.พึงมี 100 คน

แต่ถ้าพรรคนั้นได้ ส.ส.เขตมา 90 คนแล้วก็จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มอีกเพียง 10 คนเท่านั้น

ส่วนพรรคที่ได้ ส.ส.เขตเกินกว่าจำนวน ส.ส.พึงมีเช่นกรณีพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งปี 2562 ก็จะไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เพิ่มอีกเลยแม้แต่คนเดียว

การคิดคะแนนแบบนี้พรรคที่จะเสียเปรียบที่สุดคือพรรคที่ได้ ส.ส.เขตมาก ซึ่งขณะนี้น่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยเพียงพรรคเดียว

ตามสถานการณ์การเมืองใหม่พรรคต่างๆ น่าจะได้จำนวน ส.ส.เขตอยู่ในระดับ 30-80 คนมีเพียงพรรคเพื่อไทยที่มีโอกาสจะได้เกิน 150 คน ดังนั้น กรรมาธิการทุกพรรคจะเห็นด้วยกับ “ส.ส.พึงมี”

ถ้าเพื่อไทยชนะเกิน 150 เขต คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทยจะสูญเปล่า (ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็มีวิธีแก้เกม)

 

ทุกฝ่ายเตรียมแก้เกม

สถานการณ์การเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมีการซื้อเสียงกันอย่างมโหฬารเพื่อไทยจะชนะ ส.ส.เขตได้แค่ไหน ในปี 2554 ทำได้ประมาณ 200 เขต ในครั้งนี้จะทำได้หรือไม่ และถ้าไม่ได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เพราะวิธีคำนวณ ที่ใช้หลักการแบบปี 2562 เพื่อไทยต้องเตรียมแก้เกมตั้งแต่เนิ่นๆ

โอกาสที่ดีที่สุดและไม่ยากมากก็คือต้องหาอีก 50-80 เสียงจากพรรคแนวร่วม ซึ่งอาจจะทำให้เสียงในสภาของฝ่ายประชาธิปไตยได้เกิน 250 คน

เพราะการคิดคะแนนแบบนี้จะทำให้พรรคก้าวไกลมีสิทธิ์ได้จำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์มากขึ้น

ขึ้นอยู่กับวิธีหาเสียง การแข่งขัน การร่วมมือและการต้องต่อสู้กันในแต่ละเขต ถ้ารวมกับพรรคแนวร่วมอื่นๆ อาจได้ถึง 280 เสียง

เพื่อไทยจำเป็นต้องแก้เกมวิธีคิดคะแนน ส.ส.พึงมี ด้วยการให้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ไปอยู่ที่พรรคแนวร่วมทั้งใหม่และเก่า ซึ่งพรรคเหล่านี้อาจจะส่ง ส.ส.เขตแค่ 5-20 เขต แล้วแต่สะดวก ขอให้เป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน เพื่อรองรับคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ คะแนนก็จะไม่ตกหายหรือไปอยู่ฝ่ายตรงข้าม

แม้เบอร์ปาร์ตี้ลิสต์กับเบอร์เขต คนละเบอร์ก็ไม่เป็นไร

 

การยุบสภาน่าจะอยู่ที่เดือนพฤษภาคมก่อนสภาเปิดเพื่อไม่ให้เกิดการยื่นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดังนั้น ในเดือนเมษายนอาจจะมีการย้ายข้าราชการจำนวนหนึ่งก็ได้

ที่พยายามจะดีไซน์กฎหมายเพื่อพวกเรา เพราะจะแย่ง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แค่ 100 คน

แต่ยุทธศาสตร์สำคัญยังอยู่ที่ ส.ส.เขต 400 คน

ดังนั้น ต้องเอาชนะการแข่งขัน ส.ส.เขตให้ได้มากที่สุด ไม้เด็ดของพรรคเจ้าบุญทุ่ม ก็คือการเปิดโปรย้ายค่ายด้วยกล้วย ทั้งก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้ง ทุ่มกำลังสนับสนุนด้านเสบียงกรังเขตละ 20, 30, 50 หวี