ตามคาด! ‘วิโรจน์’ เป็นตัวแทนพรรคก้าวไกล ลงชิงผู้ว่าฯกทม.

วันที่ 23 มกราคม 2565 ณ อาคารอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของพรรคก้าวไกล ในซอยรามคำแหง 42 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เปิดเวทีปราศรัย พร้อมเปิดตัวผู้สมัครชิงผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยสำหรับชื่อที่พรรคก้าวไกลจะส่งคือ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ

ทั้งนี้ ก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการนั้น นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้เดินทางที่งานเปิดตัวผู้สมัคร ผู้ว่าฯ กทม.ของพรรค มาถึงถูกเพื่อนๆ แซวแต่งตัวไม่เหมือนคนอื่น เจ้าตัวตอบกับ “อาจจะมาเป็นพิธีกรก็ได้”

จากนั้นเวลา 18.00 น.สมาชิกพรรค อาทิ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรค นายรังสิมันต์ โรม น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ น.ส.สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม และประชาชนเข้าร่วมงานอย่างคึกคัก ท่ามกลางมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้มข้น ทั้งกาารตรวจ ATK คนที่จะเข้าร่วมงานทุกคน และการจัดที่นั่งแบบเว้นระยะห่าง

การเปิดตัวผู้สมัคร เริ่มจากการเปิดวิดิทัศน์ให้ผู้มาร่วมงานรับชม จากนั้น นายพิธากล่าวว่า เมื่อพูดถึงการพัฒนาการเมืองท้องถิ่นก็ต้องพูดถึงการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. เพราะเป็นเวทีแรกที่ได้เลือก แต่ไม่ว่าจะผู้ว่าฯคนไหนก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาที่หมักหมมมานานได้ ตนอายุผ่านมา 41 ปี ก็ยังไม่เห็นผู้ว่าฯคนไทยที่ทำงานชนกับปัญหา มีข้ออ้างสารพัดที่ทำให้ กทม.ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

นายพิธากล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่แสนวิเศษที่เราจะสามารถเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. หลังจากที่ไม่ได้เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. มานานกว่า 7-8 ปี สร้างความหวัง ผู้ว่าฯที่พร้อมด้วยพลังบวก พร้อมแก้ปัญหา ไม่เอาปัญหาไปซุกไว้ใต้พรหม เราจำเป็นต้องมีผู้ว่าฯที่สุดพิเศษให้กับประชาชนที่ไว้วางใจพรรคอนาคตใหม่มา

นายพิธากล่าวอีกว่า กว่า 1 ปีที่เราทำการเฟ้นหา และตนคิดว่าไม่มีคนไหนที่มีดีเอ็นเอของพรรค ก.ก.ได้มากกว่านี้ วันนี้ตัดสินใจครั้งสำคัญ เอาเสาหลักที่เป็น ส.ส.ในสภามาปักให้ทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนชาว กทม. ขอต้อนรับ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร

ด้านนายวิโรจน์กล่าวว่า หมดเวลาซุกปัญหาไว้ใต้พรหม ถึงเวลาต้องเลือกผู้ว่าฯที่ชนกับปัญหาเพื่อประชาชนแล้ว ส่วยกรุงเทพคือปรสิตที่กัดกิน กทม. ถ้าเรากำจัดส่วยนี้ไปได้กรุงเทพฯจะดีขึ้นในหลายมิติ เพราะส่วยนี้กัดกินชาวบ้านตาดำๆ ฯลฯ ขั้นต่ำ 5 พันล้าน ขั้นสูงคือ 5 หมื่นล้าน คิดเป็น 15% ของงบประมาณกรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ตาม ท่านไม่ต้องห่วงว่าตนจะทำงานกับข้าราชการไม่ได้ เพราะข้าราชการที่ดีมีกว่า 95% ที่ต้องการทำงานกับผู้ว่าฯที่ดี ถึงเวลาที่ผู้ว่าฯกทม.ต้องพิสูจน์กับข้าราชการกรุงเทพฯว่าถ้าโกงจะไม่โต ผู้ว่าฯต้องกล้าประกาศว่าจะต้องไม่มีการรีดไถใน กทม. ถ้าผู้ว่าฯชื่อวิโรจน์ ตนกล้าประกาศต้องหยุดรีดไถทันที และหากใครมีหลักฐานจะลากคอคนนั้นมาลงโทษ

นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า ต่อมาคือระบบราชการส่วนกลาง และหน่วยงานที่ยั้วเยี้ยไปหมดใน กทม. จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เราเห็นแล้วว่ากรุงเทพฯไม่ได้ขาดบุคลกรทางการแพทย์ที่ดี แต่ขาดการประสานงานที่ดี

“ถ้าผู้ว่าฯชื่อวิโรจน์ ผู้ว่าฯคนนี้ต้องพร้อมชนกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผมชนมาแล้ว จะต้องกลัวอะไร เราไม่ได้ชนเพื่อเรื่องส่วนตัว แต่ชนเพื่อพี่น้องประชาชน ถ้าเป็นผู้ว่าฯแล้วปกป้องชีวิตประชาชนไม่ได้ จะเป็นผู้ว่าฯไปทำไม

“คน กทม.ทุกคนกำลังเจอปัญหากับนักขุด ทั้งขุดท่องประปา สายไฟ ฯลฯ ไม่ว่าจะสร้างทางเท้าดีอย่างไรก็เละเทะเช่นเดิม ดังนั้น ถ้าขุดแล้วต้องส่งคืนทางเท้าในสภาพที่ดี เพราะถ้าทำไม่ได้ต้องกลับมาแก้ สายไฟที่ระโยงระยางก็เช่นกัน ต้องจัดเก็บให้ดี ถ้าไม่ดีก็ต้องแก้ ถ้าไม่แก้ก็ต้องปรับ ต่อมาคือเรื่องน้ำท่วม คำถามไม่เกิดในใจหรือว่าทำไมไม่หาทางแก้ที่ถาวรกว่านี้ คำตอบคืออำนาจไม่ได้อยู่ที่ผู้ว่าฯ แต่อยู่ที่กรมเจ้าท่า หรืออยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ผู้ว่าไม่คิดจะไปคุยเลยหรือ ผู้ว่าฯต้องพร้อมคุยทุกหน่วยงานเพื่อทะลุข้อจำกัดเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชน” นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์กล่าวว่า พอกันทีกับกระสอบทรายรายปีและการแก้ปัญหาเช่นนี้ หลายปัญหาในกรุงเทพฯมีหลายหน่วยงานพัวพันกันอยู่ เช่น หากจะแก้ไขปัญหาไฟฟ้าต้องไปคุยกับกรมทางหลวง ปัญหามลพิษต้องคุยกับหลายหน่วยงาน กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม การขนส่งทางบน ปัญหาอาชญากรรมก็ต้องคุยกับกองบัญชาการตำรวจ ซึ่งการใช้ชีวิตในกรุงเทพฯทุกวันนี้แม้จะอยู่ในคอนโดก็มั่นใจไม่ได้ว่าจะได้รับความปลอดภัย ปัญหาอาชญากรรมรวมๆ แล้ว 1 ชั่วโมงจะมีคดีอาญาเกิดขึ้น 1 คดี ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะต้องบอกเพื่อนว่าถ้าถึงบ้านแล้วให้ไลน์มาบอก วัฒนธรรมเช่นนี้ยอมให้เกิดขึ้นกับกรุงเทพฯไม่ได้ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคนเดินถนนก็เช่นกัน

“ที่น่าหดหู่คือมีคนถูกรถชนเสียชีวิตบนทางม้าลาย สิ่งที่ผู้ว่าฯทำได้คือปรับปรุงทางม้าลายทั่ว กทม. ติดตั้งกล้องจับความเร็ว และกล้องวงจรปิด ตีเส้นชะลอความเร็ว ทำสัญลักษณ์ให้ชัด ติดสัญญาณไฟคนข้าม และต้องไปคุยกับกองบังคับการตำรวจจราจร ให้บังคับใช้ พ.ร.บ.การจราจรทางบก คำว่า ‘ชน’ ของเราคือการต้องไปประสาน แต่ถ้าประสานแล้วไม่คืบหน้า เราจะปล่อยให้ความทุกข์ร้อนของคน กทม.อยู่แบบเดิมไม่ได้ เราต้องตาม ต้องจี้ เพราะทุกครั้งที่ผู้ว่าฯยอมคือการลอยแพคน กทม.” นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์กล่าวอีกว่า ต่อมาคือต้องกล้าชนกับนายทุน ผู้ว่าฯกทม. ต้องพร้อมเป็นกันชนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนกรุงเทพฯ ไม่ให้คนกรุงเทพฯถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกสูบเลือดสูบเนื้อจากนายทุน เช่น เรื่องค่ารถโดยสารรถไฟฟ้าแพง ซึ่งทุคนรู้ดีว่าค่าโดยสารที่แพงนี้มาจากสัญญาสัมปทานที่พัวพันกว่า 10 ฉบับ มีการเก็บค่าแรกเข้าที่ซ้ำซ้อน และแต่ละสัญญามีเงื่อนไขในการเก็บค่าโดยสารที่ไม่เหมือนกัน และทุกคนก็รู้ว่าทุกวันนี้เราค้างค่าจ้างเดินรถหัวโต ขณะที่คน กทม.หลายคนขึ้นรถไฟฟ้าไม่ได้ เพราะจ่ายค่ารถไฟฟ้าไม่ไหว

นายวิโรจน์กล่าวว่า ตนเชื่อว่าวันนี้คน กทม.ไม่ได้ต้องการผู้ว่าฯที่สร้างรถไฟฟ้า แต่คนกรุงเทพต้องการผู้ว่าฯที่ทำให้คนกรุงเทพฯขึ้นรถไฟฟ้าได้ต่างหาก ถ้าผู้ว่าฯชื่อวิโรจน์ ทุกคนรู้ว่าส่วนต่อขยายมีสัญญาที่เป็นสิ่งลึกลับดำมืด อย่างน้อยผู้ว่าฯที่ชื่อวิโรจน์จะเปิดเผยสัญญาฉบับนี้ทันที ซึ่งสัญญาฉบับนี้มีความเชื่อมโยงกับคำสั่ง คสช. ที่ 3/2562 ตราบใดที่สัญญาไม่ถูกเปิดว่าไปเจรจาอะไรกันไว้ ปัญหาจะแก้ไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่ผู้ว่าฯต้องกล้าทำ และผู้ว่าฯต้องกล้าเป็นหัวหอกในการเปิดตั๋วร่วม จะติดที่ไหนไม่รู้ แต่ต้องไม่ติดที่ผู้ว่าฯใส่เกียร์ว่าง

“หลายเรื่องเกินกว่าอำนาจผู้ว่าฯกทม. แต่จะบอกว่าไม่มีอำนาจแล้วปล่อยให้คน กทม.อยู่ตามยถากรรมไม่ได้ ผู้ว่าฯต้องส่งข้อจำกัดต่างๆ ให้ฝ่ายนิติบัญญัติ ในการทบทวนแก้ไขกฎหมาย เพิ่มอำนาจให้กับผู้ว่าฯ ให้ผู้ว่าฯสามารถดูแลคุณภาพชีวิตให้คน กทม.ได้ดีกว่านี้ และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ผู้ว่าฯกทม.ทำงานคนเดียวไม่ได้ นี่คือเหตุผลสำคัญที่ผู้ว่าฯกทม.ต้องมี ส.ส.ที่กล้าหาญอย่างพรรค ก.ก.อยู่ในสภา เราจะทำงานสอดประสานกัน เพราะเราทำงานกันเป็นทีม” นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน​์กล่าวอีกว่า ตนเชื่อว่าผู้ว่าฯกทม.ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่มีเทคนิคล้ำเลิศ เป็นคนธรรมดาก็ได้ แต่ต้องเป็นคนที่มองคน กทม.ทุกคนเป็นเหมือนพี่น้อง ญาติ เป็นคนในครอบครัว และพร้อมที่จะทุ่มเทมทำงานหนัก มีเจตจำนงมุ่งมั่นที่จะทำงานบริหารแบบลงรายละเอียด เก็บทุกเม็ดเพื่อปกป้องชีวิตของคน กทม. นี่คือหน้าที่ผู้ว่าฯ ถ้าผู้ว่าฯชื่อวิโรจน์ กทม.ไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองที่ติดระดับโลกเพื่อคนอื่น แต่ กทม.ต้องเป็นเมืองที่คนที่มีชีวิตอยู่ที่นี่ มีลมหายใจที่นี่อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ต้องมีสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่ดี

“กรุงเทพฯต้องพร้อมเป็นฟูกผืนหนึ่งที่ทำให้คน กทม.ทุกคนมั่นใจว่าถ้าวันหนึ่งเราพลาดล้มลง เราต้องไม่เจ็บหนัก และพร้อมที่จะลุกขึ้นยืนใหม่ได้ ไม่ใช่ล้มคนเดียวล้มทั้งบ้าน ถ้าเปรียบกรุงเทพฯเป็นโรงเรียน ก็ต้องไม่ใช่โรงเรียนที่เอาแต่เด็กห้องคิงส์ แล้วทิ้งเด็กห้องอื่นต้องไม่ประคบประหงมแต่นักเรียกต่างชาติ

“ผมเริ่มต้นการทำงานกับพรรคอนาคตใหม่ จนวันนี้อยู่กับพรรคก้าวไกล ผมเชื่อมาโดยตลอดว่าเราสามารถลงมือทำให้สังคมที่เราอยู่ดีกว่านี้ได้ และผมยังเชื่ออย่างนั้น และผมยังเชื่อเสมอว่าเราสามารรถส่งผ่านอนาคตที่ดีให้กับลูกหลานของเราได้ ดีเอ็นเอของความเป็นอนาคตใหม่ บนวิถีทางการทำงานของพรรคก้าวไกลทำให้ผมพร้อมที่จะชนกับทุกปัญหาเพื่อคนกรุงเทพ และพร้อมที่จะแก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมา โดยเอาผลประโยชน์ของคนกรุงเทพเป็นตัวตั้ง

“ผมพร้อมที่จะปักธงอนาคตเพื่อพาผู้คนที่แตกต่าง หลากหลายในสังคมกรุงเทพฯให้เดินไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน พอกันที และพอได้แล้วกับกรุงเทพฯชีวิตดีๆ ที่คุณต้องจ่าย หากเมื่อไหร่ที่คุณไม่จ่าย คุณก็ต้องเจ็บ ต้องทนจนชินไปเอง หมดเวลาที่เราต้องทน หมดเวลาที่จะซุกปัญหาไว้ใต้พรหม ถึงเวลาที่ต้องเลือกผู้ว่าฯที่พร้อมชนเพื่อคนกรุงเทพฯ และถ้าคนกรุงเทพฯต้องการคนที่พร้อมชนแบบเก็บทุกรายละเอียด ชนทุกปัญหา ผมก็พร้อมอาสาเป็นคนๆ นั้น ช่วยกันสะบัดพรหม กรุงเทพฯได้เวลาเก็บกวาดแล้วครับ” นายวิโรจน์กล่าว