เปิดหู | I Saw Mommy Kissing Santa Claus  และจินตนาการต่างๆ นา ๆ

อัษฎา อาทรไผท

I Saw Mommy Kissing Santa Claus  และจินตนาการต่างๆ นาๆ

เป็นเรื่องปกติที่ในช่วงปลายธันวาคม เราจะได้ยินเสียงเพลงคริสต์มาสมากมายเปิดดังไปทั่วเวลาไปเดินตามห้างหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต สร้างบรรยากาศฮอลิเดย์โหมดให้เราได้ดีนักหนา

อันเพลงคริสต์มาสนี้มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4 แล้ว แต่แรกเริ่มเดิมทีเมื่อสมัยนั้น จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวในพระคำภีร์ของศาสนาคริสต์ ขับร้องเป็นภาษาลาติน แต่ฟังแล้วออกแนวคล้ายบทสวด (Chanting) มากกว่าร้องเพลง

ต่อมาราวคริสต์ศักราชที่ 14 เริ่มมีการประยุกต์ให้บทเพลงคริสต์มาสมาในรูปแบบภาษาท้องถิ่น ที่ฟังเข้าใจได้ง่าย และเมื่อเวลาผ่านไป ก็มีการพัฒนาเนื้อหาจากเน้นคำสอนศาสนาคริสต์ล้วนๆ มาเป็นการเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับช่วงเวลานี้เช่น Jingle Bells หรือ Rudolph the Red Nose Reindeer

ทุกๆ ปีมีเพลงคริสต์ใหม่ๆ แต่งออกมามากมากมาย หลายเพลงดังค้างฟ้าติดหูผู้คนจากรุ่นสู่รุ่น และมีอีกหลายเพลงมากๆ ที่ออกมาแล้วก็ถูกลืมและโดนกาลเวลากลืนกินหายไป ในเพลงที่เป็นที่จดจำและยังคงได้ยินกันอยู่ หนึ่งในนั้นคือเพลง I Saw Mommy Kissing Santa Claus เพลงที่ความหมายน่าเอามาครุ่นคิดที่สุดเพลงหนึ่ง

เพลงนี้ออกมาสู่หูชาวโลกตั้งแต่ปีค.ศ. 1952 แล้ว ผมมั่นใจว่าหากไม่มีการนำมาบอกกัน หลายๆ ท่านน่าจะไม่ทราบว่านี่คือเพลงที่ประพันธ์ขึ้นโดยนักเขียนเพลงชาวอังกฤษนามว่า Tommie Connor และถูกร้องบันทึกเสียงไว้ครั้งแรกโดย Jimmy Boyd เด็กอายุ 13 ชาวอังกฤษ ที่ปัจจุบันหากยังมีชีวิตอยู่ จะอายุราว 82 ปีแล้ว

เพลงเวอร์ชั่นแรกถือว่าทำออกมาได้อย่างประสบความสำเร็จ เพราะในเดือนธันวาคม ปี 1952 เพลงได้ขึ้นไปสู่อันดับ 1 ของชาร์ตบิลบอร์ด ส่วนผู้ที่เป็นนายทุนของเพลงนี้นั้นก็คือ Saks Fifth Avenue ห้างสรรพสินค้าสุดหรูแห่งนิวยอร์ค ที่ตั้งใจให้ทำเพลงนี้ขึ้นมาประกอบโปรโมชั่นช่วงคริสต์มาสของปีนั้น โดยหารู้ไม่ว่ามันจะกลายเป็นเพลงอมตะนิรันดร์กาลในวันนี้

เพลงนี้ที่ว่าฟังแล้วสามารถจินตนาการไปต่างๆ นาๆ ได้ ก็เพราะเนื้อหามันไม่มีบทสรุปแน่ชัด ต้องให้ผู้ฟังไปคิดต่อเอาเอง กับเหตุการณ์ที่เด็กน้อยตื่นนอนมากลางดึกในคืนก่อนวันคริสต์มาส เมื่อได้ยืนเสียงกึ๊กกั๊ก เจ้าเด็กก็แอบย่องลงบันไดมาตามเสียง จนมาพบกับภาพมารดาของเขากำลังจูบซานตาครอสอยู่ใต้ Mistletoe (พวงดอกไม้ที่ใช้แขวนประดับในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ที่หากคู่รักไปยืนคู่กันข้างใต้ก็มักจะจูบกันตามประเพณี)

เมื่อเด็กน้อยที่ตื่นเต้นกับการเห็นซานต้าคนแจกของขวัญที่เขาเฝ้ารอ มาจูบอยู่กับแม่ของตัวเอง ก็เกิดสงสัยว่าถ้าพ่อเขามาพบเข้าจะเกิดอะไรขึ้น เนื้อเพลงสั้นๆ แค่นี้ แต่ผู้ฟังที่คิดมากก็คิดกันไปไกลได้อีก

บางคนมีความเห็นว่าถ้าชายที่จูบคุณแม่คือซานต้า แล้วมิสซิสครอส ภรรยาของซานต้าที่เฝ้ารอการกลับมาของสามีอยู่ที่นอร์ทโพลจะว่าอย่างไร ทำไมคุณลุงซานต้าผู้ใจดีถึงได้ไฟแรงสูงแบบนี้ เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งเหลือเกิน แต่หากคิดถึงธาตุแท้ของมนุษย์ เรื่องแบบนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้หากไม่มีใครรับรู้

อีกหนึ่งกระแสก็บอกว่าชายที่แต่งซานต้าเข้ามายามวิกาล แท้ที่จริงคือชู้รักของคุณแม่นี่เอง อุตส่าแอบย่องเข้ามาในยามวิกาล เจ้าเด็กน้อยดันทะลึ่งได้ยินและลงมาเห็นอีก ดีที่ในยุคนั้นยังไม่มีสมาร์ทโฟน ไม่อย่างนั้นงานนี้ได้เป็นไวรัลแน่ๆ

ส่วนกระแสโลกสวยก็บอกเลยทันทีว่า ที่เห็นนั่นน่ะก็คือคุณพ่อนี่เอง คุณพ่อลงทุนแต่งเป็นซานต้าเพื่อลูกๆ ของเขา แอบเอาของขวัญมาวางแบบเนียนๆ ตอนลูกหลับ แล้วจูบคุณแม่สักทีจะเป็นอะไรไป

ข้อสุดท้ายนี้ผมมีคำถามว่า แล้วคุณพ่อจะมาแต่งซานต้าทำไมในเมื่อลูกก็หลับอยู่ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลงทุนขนาดนี้ ซึ่งก็มีคนมาตอบผมได้อีกว่า นี่คือเรื่องของคุณพ่อคุณแม่ ที่จะเล่นคอสเพลย์กันสองคน หลังวางของขวัญแล้ว อาจจูงมือกันขึ้นไปเล่นบทบาทสมมุติกันต่อก็ได้

ส่วนอีกหนึ่งสันนิษฐานที่เพิ่งได้ยินมาคือ คนที่อยู่ในชุดซานต้านั้นอาจไม่ใช่ผู้ชายก็ได้!!! โอ้ยปวดหัวจังครับ นี่ยังไปไม่ถึงมนุษย์ต่างดาวหรือภูติผีปีศาจนะครับ ผมว่าเราหยุดตรงนี้ ไปหาเพลงนี้มาฟังแล้วลองช่วยหาคำตอบกันเลยดีกว่า Merry Christmas คร้าบ

ปล. เวอร์ชั่นที่ผมว่าน่าฟังคือของ Jackson 5 ที่ได้ Michael Jackson ตอนเด็กมาขับร้อง และเวอร์ชั่นของ Amy Winehouse ที่บันทึกการแสดงสดในโบสถ์เอาไว้ได้อย่างตราตรึงหู