ภาพยนตร์ : THE GREEN KNIGHT ‘การผจญภัยของอัศวิน’ / นพมาส แววหงส์

นพมาส แววหงส์

 

 

THE GREEN KNIGHT

‘การผจญภัยของอัศวิน’

 

กำกับการแสดง

David Lowery

 

นำแสดง

Dev Patel

Alicia Vikander

Sean Harris

Kate Dickie

Sarita Choudhury

Joel Edgerton

Barry Keoghan

 

ขอเริ่มด้วยการบอกให้รู้กันทั่วเสียก่อนว่านี่ไม่ใช่หนังสำหรับรสนิยมของทุกคนนะคะ

อาจจะมีคนดูกว่าครึ่งค่อนโรงที่หมดความอดทนไปก่อนที่จะดูให้จบ (และโดยเฉพาะถ้าดูอยู่ที่บ้านซึ่งไม่ได้มีบรรยากาศของการไปดูหนังในโรงพร้อมด้วยการอุทิศเวลาและความสนใจให้เต็มที่) หรืองุนงงสับสนกับการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบพิสดารแปลกประหลาดจนจับต้นชนปลายไม่ถูก

ผู้เขียนนึกขอบคุณตัวเอง-และค่ายหนังเป็นอย่างยิ่งที่เชิญมาดู-ที่ยอมจัดสรรเวลาออกจากบ้านมาดูหนังในโรง พร้อมด้วยความตั้งใจดูแบบที่ถูกตรึงอยู่กับที่ตลอดโดยไม่หนีหายหรือหาโอกาสลุกไปทำกิจส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ เช่น เปิดตู้เย็น หรือชงชาดื่ม หรือสารพัดจะหาเรื่องทำเวลานึกเบื่อขึ้นมา

แม้ว่าตลอดเวลากว่าปี–ในช่วงล็อกดาวน์แบบยกการ์ดสูง ด้วยความเป็นผู้ที่ถูกจัดไว้ในกลุ่มเสี่ยง–จะเพิ่งเริ่มเคยชินกับการไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรีวิวหนังที่หาดูได้ที่บ้าน แต่ประสบการณ์ในการดูหนังก็มีรสชาติเปลี่ยนไป ไม่ได้ดูอย่าง “หลุดไปจากโลก” พร้อมด้วยความตั้งใจดูอย่างเต็มที่โดยไม่ได้ถูกแบ่งแยกไปที่อื่น (undivided attention) เหมือนอย่างเวลาไปดูหนังในโรง

ทำให้เก็บรสชาติขององค์ประกอบในเรื่อง ทั้งภาพ แสง สี เสียงและจังหวะในการเล่าเรื่องได้มากกว่า-ไม่อยากจะใช้คำว่า “ครบถ้วน” เพราะดูจบแล้ว ยังอยากดูซ้ำอีกหนทันที เพื่อกลับไปดูรายละเอียดที่อาจปล่อยผ่านตาไปโดยไม่ทันสังเกตให้ถี่ถ้วน-และปล่อยตัวไปในโลกของจินตนาการอันแพร้วเพริศได้มากกว่าการดูอยู่ที่บ้านเป็นไหนๆ

 

นี่คือหนังที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบทกวีโบราณที่เล่าเรื่องราวของอัศวินชื่อ เซอร์กาเวน ที่ต่อกรกับ “อัศวินเขียว” หรือ the Green Knight

ผู้เขียนไม่เคยได้อ่าน Sir Gawain and the Green Knight หรอกค่ะ แต่ดูหนังแล้วก็ไม่ได้นึกอยากหามาอ่าน เพราะเชื่อว่าคงได้รับรสชาติจากเรื่องราวที่นำเสนอในหนังมากกว่าจากบทกวีโบราณที่คลุมเครือและเข้าใจยาก

นี่เป็นการตีความกวีนิพนธ์โบราณในมุมมองของศิลปินคนทำหนังในยุคใหม่ผู้เปี่ยมไปด้วยจินตนาการที่พาเราลอยพ้นไปอยู่ในโลกอีกโลกของเวทมนตร์ คุณธรรมความกล้าหาญ อำนาจเหนือธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากมนุษย์

หนังเล่าเรื่องราวของกาเวน (เดฟ ปาเตล) ผู้เป็นหลานชายของกษัตริย์อาร์เธอร์ผู้สูงวัย และเป็นลูกชายของมอร์แกน เลอ เฟย์ หรือมอร์กานา (สาริตา ชูดูรี)

กาเวนยังไม่ได้เป็นอัศวิน และใช้ชีวิตเสเพลของหนุ่มที่มีศักดิ์ตระกูลสูงแต่ไร้ความรับผิดชอบอยู่ตามโรงเตี๊ยมและซ่อง ขาประจำของเขาเป็นหญิงสาวสวยชื่อ เอสเซล (อลิเชีย วิกานเดอร์) ซึ่งไม่มีทางที่เขาจะเชิดชูขึ้นคู่เคียงเป็นศรีภรรยาได้

ความใฝ่ฝันของกาเวนคือการพิสูจน์ตัวว่ามีค่าคู่ควรจะได้เป็นอัศวิน ซึ่งต้องถึงพร้อมด้วยความกล้าหาญและศักดิ์ศรี และในการนี้ แม่ผู้มีเวทมนตร์ของเขาคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง…

 

ในคืนวันคริสต์มาส ราชสำนักของกษัตริย์อาร์เธอร์จัดงานเลี้ยงใหญ่ในท้องพระโรงที่มี “โต๊ะกลม” ตามที่อาร์เธอร์ทรงก่อตั้งขึ้นเพื่อความเสมอภาคในหมู่อัศวินผู้เที่ยงธรรมของพระองค์

อาร์เธอร์เรียกตัวกาเวนให้ไปนั่งเคียงข้างร่วมโต๊ะเสวยที่ประทับอยู่กับราชินีกวินีเวียร์ผู้สูงพระชนม์แล้ว (เคต ดิกกี้) และขอให้เขาเล่าเรื่องของตัวเขาเองให้ฟัง

หนังตัดสลับระหว่างการทำพิธีของมอร์กานา ซึ่งใช้เวทมนตร์คาถา กับงานเลี้ยงในราชสำนัก

ในบัดดล ร่างสูงใหญ่บนหลังม้าของ “อัศวินเขียว” ก็ปรากฏขึ้นทะมึน และควบย่างเข้ามากลางโต๊ะกลมที่รายล้อมอยู่ อัศวินเขียวเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งต้นไม้ (ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการตีความต่อไป) ผู้มายื่นคำท้าทาย ตามที่อาร์เธอร์บอกกาเวนว่า นี่เป็น “เกมวันคริสต์มาส”

เขาขอท้าใครหน้าไหนก็ตามให้มาต่อกรกับเขา ด้วยเดิมพันคือขวานเล่มโตที่เป็นอาวุธที่เขาถือมา โดยให้ผู้ท้าฟาดฟันพิชิตเขาก่อนอย่างไรก็ได้ และเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปี คนผู้นั้นจะต้องเดินทางไป “วิหารเขียว” เพื่อรับการถูกฟาดฟันกลับในลักษณาการเดียวกัน

กาเวนก้าวออกมารับคำท้านั้นอย่างทรนงองอาจ และได้รับดาบอาญาสิทธิ์จากอาร์เธอร์เป็นอาวุธในการต่อกรกับอัศวินเขียว

ผู้ที่รู้จักเรื่องราวของอาร์เธอร์ คงคุ้นเคยกับเรื่องราวความเป็นมาของดาบอาญาสิทธิ์กับเด็กชายอาร์เธอร์ ซึ่งทำให้เขาได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์ผู้ธำรงความยุติธรรม และก่อตั้ง “อัศวินโต๊ะกลม” ต่อมา

ทว่าเรื่องราวต่อมาในหนังที่เล่าขานกันถึงซากศพที่เล่าลือกันว่าอาร์เธอร์ใช้ดาบสังหารผู้คนไปกว่าเก้าร้อยคนในสนามรบ ก็ไม่ได้ทำให้เราเกิดความอุ่นใจนักว่าอาร์เธอร์เป็นกษัตริย์ที่ทรงการุณยธรรม

“เกมวันคริสต์มาส” ยังดำเนินต่อมาจนครบขวบปีตามเงื่อนไขของอัศวินเขียว ด้วยเรื่องราวการผจญภัยของกาเวนเพื่อเดินทางไปยังวิหารเขียวเพื่อทำตามสัญญาเกียรติยศต่ออัศวินเขียว

และกลายเป็นการเดินทางที่พาเขาไปพบกับเรื่องราวสุดพิสดารครั้งแล้วครั้งเล่า

ตั้งแต่การถูกปล้นโดยกลุ่มโจรระหว่างทาง และถูกจับมัดมือมัดเท้าไว้ให้ตายกลางป่า…ถ้าใครดูถึงตอนนี้ ขอให้สังเกตเหตุการณ์แปลกประหลาดที่ต้องอาศัยการตีความตอนนี้เป็นพิเศษนะคะ

การพบและช่วยเหลือนักบุญวินิเฟรดผู้ตามหาศีรษะที่ขาดหายไป

การพบสุนัขจิ้งจอกแดงผู้เป็นเพื่อนร่วมทางไปกับกาเวนจนใกล้จุดหมาย

การพำนักอยู่กับขุนนางและศรีภรรยาผู้มีหน้าตาเหมือนกับเอสเซล แฟนผู้ต่ำต้อยของกาเวน ไม่มีผิด…เช่นเดียวกันขอให้สังเกตคำพูดยืดยาวอันทรงพลังของเธอในเรื่องอำนาจของธรรมชาติและความเปราะบางของชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะในแง่ที่ว่าเราเกิดมาแล้วก็ต้องกลับคืนไปสู่พื้นโลกทุกคนไม่มีใครเว้น

แม้แต่การพบเห็นยักษ์เปลือยหัวโล้นเลี่ยน ร่างสูงเทียมภูเขา ที่เดินเพ่นพ่านอยู่ในภูมิประเทศรกร้าง

การพบกับอัศวินเขียวผู้หลับใหลรออยู่ในวิหารเขียว

และตอนจบอันน่าจดจำ แต่ก็ยังต้องอาศัยการตีความต่อไปอีก

 

อ้อ ลืมไปว่าท่ามกลางการผจญภัยทั้งหลายทั้งปวงนี้ มีฉากของการแสดงหุ่นแบบพื้นบ้านท่ามกลางคนดูที่เป็นเด็กชาวบ้าน ซึ่งเพิ่มมิติของการเล่านิทานให้แก่เรื่องราวการผจญภัยเยี่ยงอัศวินนี้

ไม่ใช่หนังที่ดูง่ายนักหรอกค่ะ แต่ถ้าดูด้วยใจเปิดกว้างพร้อมจะรับสิ่งใหม่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ก็จะได้ลิ้มลองอรรถรสอันแปลกใหม่ที่หาดูไม่ได้ง่ายนัก

ผู้เขียนเชื่อว่านี่จะต้องกลายเป็นหนังคลาสสิคต่อไปในอนาคต