2503 สงครามลับ สงครามลาว (55)/บทความพิเศษ พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

 

2503 สงครามลับ

สงครามลาว (55)

 

หน่วยนำการถอนตัว

หลังจากตกลงใจที่จะถอนตัว ผู้บังคับกองพันก็ถามหาอาสาสมัครที่จะทำหน้าที่เป็นหน่วยนำการถอนตัวซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จภารกิจสุดท้ายนี้ และมีความเสี่ยงต่ออันตรายอย่างยิ่ง แต่ไม่มีผู้อาสาสมัคร

“นรกบ้านนา” ของ “หัวหน้าใจ” บันทึกไว้ว่า

“ใจผมรู้สึกหงุดหงิด นึกในใจว่า กูกับลูกน้องที่เหลือไม่ถึง 20 คนนี่แหละวะขอเป็นหน่วยนำก็ได้โว้ย เพราะอยากจะไปให้พ้นจากนรกที่นี้เต็มทีแล้ว…ใจคิด

เมื่อไม่มีใครเป็นหน่วยนำ กูกับลูกน้องนี่ล่ะวะขอพาออกจากนรกนี้เอง อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เพราะถึงเวลาต้องเสี่ยงดวงกันแล้ว ดีกว่าอยู่รอวันตายให้มันมาเหยียบกบาลพวกเราแบบไม่มีทางสู้

ในที่ประชุมยังเงียบ ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีพร้อมยกมือขึ้นแล้วพูดกับผู้พันว่า ‘ผมครับ ผมหัวหน้าใจ ขอเป็นหน่วยนำในการถอนตัวออกจากบ้านนาครับ’

ผู้พันท่านจำผมได้ มองมาที่ผมแบบไม่สงสัยว่าเป็นใครมาอาสา เพราะท่านคุ้นหน้าผมอย่างดีแล้ว

ท่านพูดว่า ‘แน่ใจนะหัวหน้าใจที่จะเป็นหน่วยนำ’ ผมตอบด้วยเสียงดังชัดเจนว่า ‘แน่ใจครับ’ ท่านคงรู้สึกถึงความจริงใจในการอาสาของผม เพราะท่านใช้ผมไปเสี่ยงตายมาหลายครั้งแล้ว และคงไม่สงสัยในความจริงของผมอย่างแน่นอน

ในที่สุดท่านก็พูดออกมาในที่ประชุมว่า ‘เอาละ…ถอนก็ถอน เมื่อส่วนใหญ่ต้องการ โดยให้หน่วยของหัวหน้าใจเป็นหน่วยนำ ผมจะขออนุมัติถอนตัวกับหน่วยเหนือในวันนี้ พวกเราน่าจะมีเวลาเตรียมการกัน และการถอนตัวนั้นมีอันตรายและมีโอกาสมากที่จะต้องปะทะกับข้าศึกที่ปิดล้อมเราอยู่ ก็จะขอถามถึงแผนการถอนตัวกันเลยกับพวกเราว่าจะทำอย่างไร มีแผนอย่างไรที่จะทำให้การถอนตัวปลอดภัยที่สุด…

และขอถามหัวหน้าใจก่อนว่ามีแผนอย่างไรในฐานะที่ขอเป็นหน่วยนำ'”

 

แผนของร้อยตรี

“ผมมีแผนอยู่ในใจที่ต้องการให้พ้นจากนรกนี้อยู่ก่อนแล้ว จากการประมาณสถานการณ์หากถูกข้าศึกเข้าตีแบบทุ่มกำลังหรือโอเวอร์รันเราตามที่เคยชี้แจงกับลูกน้องผมแล้ว เพื่อให้มีชีวิตรอดกลับไป เพียงแต่ครั้งนี้เป็นการถอนกำลังทั้งหมดออกจากบ้านนาอย่างเป็นระบบและมีคนจำนวนมาก ผมรีบชี้แจงกับผู้พันทันทีด้วยแผนง่ายๆ ตามที่ผมคิดไว้

‘ขออนุญาตครับ ผมขอนำถอนตัวออกจากบ้านนาในคืนนี้เริ่มเวลาสองทุ่มตรง เพื่อไปรวมกับ BI-14 ที่ภูล่องมาด ผมกำหนดจุดรวมพลไว้ตรงบริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือใกล้กับฐานกองพันและ บก.ร้อย BI-15 ผมจะนำลงจุดนั้นซึ่งเป็นหุบที่ลึกที่สุด และนำลงหุบไปให้เร็วที่สุดเพื่อจะไต่สันเขาไปยังฝั่งตรงข้ามและมุ่งสู่สันเขาสูงซึ่งเป็นสันเขาที่ทอดยาวสู่ภูล่องมาดที่ห่างจากเราไปประมาณ 10 ก.ม. ทางด้านทิศเหนือครับ’

ผมชี้แจงแผนคร่าวๆ ให้ที่ประชุมฟังแล้วไม่มีใครคัดค้านแผนผมในเส้นทางและทิศทางถอนตัวที่ผมกำหนด”

 

อีกครั้งกับ “เหมียว” เพื่อนตาย

‘อย่าลืมนะครับ สองทุ่มตรงผมจะลงทันที ไม่มีการรั้งรอใดๆ เรื่องธุรการอื่นๆ เป็นเรื่องของท่าน และขออนุญาตครับ ผมขอกำลังของกองร้อยสุรินทร์ที่เหลือรวมกำลังสมทบกับผมโดยเพื่อนผม ร.ต.พนา ควบคุมรวมกันเป็นกำลังประมาณ 1 หมวดปืนเล็กหย่อนกำลัง เพื่อให้หน่วยนำมีกำลังพอในการดำเนินกลยุทธ์หากปะทะข้าศึกหรือถูกข้าศึกขัดขวางการถอนตัวของฝ่ายเรา’

ผู้พันนั่งนิ่งไม่พูดอะไร แสดงว่าท่านเห็นด้วยและอนุมัติ ผมเลยพูดต่อในแผนถอนตัวว่า ‘ขออนุญาตประสานกับปืนใหญ่พันเชอร์ว่า เมื่อเริ่มมืดหรือใกล้เวลาถอนตัวขอให้ยิง ป. 105 ที่เหลือกระบอกเดียวไปยังบริเวณเนินอานม้าทางทิศตะวันตกเฉียงใต้หลายๆ นัดก่อนทำลายทิ้งเพื่อลวงหรือเบนความสนใจของข้าศึกว่าเราจะมีการปฏิบัติในทิศทางนั้น’

ไอ้ย้งเพื่อนผมได้ยิน ไม่พูด ไม่คัดค้านใดๆ ผมก็รู้ว่ามันต้องช่วยผมตามที่บอกแผนกับมันแน่ๆ ยังไงมันต้องทำลายปืนที่เหลืออยู่กระบอกเดียวของมันอยู่แล้ว ก่อนทำลายทิ้งให้มันยิงสั่งลาให้กระสุนหมดไปเลย

ผมจะเลิกอธิบายแผน แต่มานึกได้ว่าที่ บก.พัน B-15 มีแม้วอยู่ 4 คนอยู่ที่ บก.พัน เลยคิดว่าถ้ามีแม้วมานำทางก็จะดี ในฐานะเจ้าของพื้นที่น่าจะช่วยพวกเราได้ไม่มากก็น้อย ก็เลยขอพูดกับผู้พัน ‘ขออนุญาตครับ ผมขอแม้ว 4 คนที่อยู่กับกองพันมาช่วยนำทางได้ไหมครับ’

ผู้พันนิ่งไปสักพักท่านก็ตอบว่า ‘คงไม่ได้ จะให้แม้ว 4 คนอยู่กับกองพันเป็นผู้ติดต่อและประสานงาน’

ผมอึ้งไปในคำปฏิเสธของผู้พัน แต่ก็คิดได้ว่า ไม่เป็นไรวะ ไม่ให้ก็ไม่เอา ผมมีทั้งแผนที่และเข็มทิศไม่กลัวที่จะหลงอยู่แล้ว ไม่ต้องพึ่งแม้วก็ได้วะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเป็นปัญหาสำหรับผม

‘และผมขออนุญาตอีกเรื่อง คือขอให้พวกเราอย่าแสดงออกใดๆ ที่จะทำให้ข้าศึกรู้ว่าเรากำลังจะถอนตัว ผมขอให้ช่วยกันระวังเรื่องนี้ด้วยในระหว่างเตรียมการ ตรงข้ามควรจะแสดงออกว่าเราจะยึดที่นี่อยู่ต่อไป เช่น แสดงว่าเรามีการเสริมความแข็งแรงของที่มั่นตั้งรับก็จะเป็นการดีครับ’

ผู้พันท่านนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วท่านก็พูดว่า ‘มีใครคัดค้านและมีความเห็นเป็นอย่างอื่นหรือไม่’

สักครู่เมื่อไม่มีใครพูดอะไร

ท่านก็บอกพวกเราว่า ‘ถอนตัว เอาตามแผนนี้’

และท่านก็เสริมว่า ‘รูปขบวนให้หมวดของหัวหน้าใจและกำลังของกองร้อยสุรินทร์เป็นหมวดนำ ตามด้วยกำลังของส่วนกองพันแล้วก็ปืนใหญ่พันเชอร์ปิดท้าย และปิดท้ายขบวนการถอนตัวด้วยกำลังของกองร้อยที่ 1 BI-15 รับหน้าที่เป็นกองระวังหลังป้องกันด้านหลังขบวน ให้ทุกหน่วยจัดรูปขบวนของตัวเองให้รัดกุมโดยมีผู้บังคับบัญชารับผิดชอบควบคุมอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การถอนตัวเป็นระเบียบตามรูปขบวนที่กำหนด

ส่วนนำหน้าและส่วนระวังป้องกันหลังต้องจัดหน่วยเพื่อเตรียมดำเนินกลยุทธ์ ถ้าหากปะทะหรือถูกข้าศึกขัดขวางและไล่ติดตามโจมตี ให้เป็นหน้าที่ของหน่วยนำและหน่วยป้องกันด้านหลังขบวนเข้าดำเนินกลยุทธ์

ในส่วนกลางขบวนขอให้ระวังป้องกันตัวเองและอยู่ในความสงบ ห้ามตกใจแตกตื่นเด็ดขาดเมื่อมีการปะทะกับข้าศึก ไม่ว่าด้านหน้าหรือด้านหลังของขบวน ถ้าถูกโจมตีด้วยอาวุธหนักก็เช่นเดียวกัน อย่าแตกตื่น เข้าหาที่กำบังของตัวเองให้ปลอดภัยและพยายามเคลื่อนที่ต่อไป สังเกตการณ์และป้องกันตนเอง

ข้อสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคืออย่าแตกตื่น อย่าทำให้เสียรูปขบวน ขอให้ผู้บังคับบัญชาแต่ละหน่วยควบคุมคนของตัวเองให้ดี’

และท่านก็เน้นย้ำอย่างหนักแน่นว่า

‘นี่คือคำสั่งการถอนตัวในคืนนี้ ขอให้ปฏิบัติตามนี้อย่างเคร่งครัด จะไม่มีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรอีก สำหรับสัญญาณบอกฝ่ายจะให้ ฝอ.2 (ฝ่ายการข่าว) กำหนดและแจ้งโดยนำสารไปให้ทุกหน่วยทราบก่อนการถอนตัวคืนนี้’

และท่านย้ำเสียงหนักแน่นว่า

‘เราจะมุ่งสู่ภูล่องมาดตามแผน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะไม่มีการถอยอย่างเด็ดขาดจำไว้ และอย่าลืม อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่จำเป็นไม่ต้องนำติดตัวไป ให้ทำลายทิ้งให้หมด เอาแต่อาวุธประจำกาย กระสุนและอาหารเท่าที่จำเป็นเท่านั้นพอ เพื่อความคล่องตัวในการถอนตัว การเตรียมการทำให้รอบคอบและปิดลับด้วยในการทำลายยุทโธปกรณ์ทิ้ง…

พบกันที่จุดนัดหมายคืนนี้สองทุ่มตรง และขอให้ทุกคนโชคดี’

พวกเราได้ยินคำสั่งชัดเจนจากผู้พัน ท่านไม่พูดอะไรอีก เมื่อท่านลงจากแท่นยกพื้นเพื่อไปพูดคุยกับนายทหารและฝ่ายอำนวยการของท่าน

คงไม่มีการเปลี่ยนใจหรือเปลี่ยนแผนอีกอย่างแน่นอน”