ทางแพร่ง ‘3 นายพล – 1 ผู้กอง’ ‘พลังประชารัฐ’ เคลียร์ไม่จบ อาจพ่ายศึกยกทัพ!/เปลี่ยนผ่าน

เปลี่ยนผ่าน

ปรัชญา นงนุช

 

ทางแพร่ง ‘3 นายพล – 1 ผู้กอง’

‘พลังประชารัฐ’ เคลียร์ไม่จบ

อาจพ่ายศึกยกทัพ!

 

ขั้วอำนาจ “3 ป.บูรพาพยัคฆ์” ผงาดบนแผงอำนาจการเมืองไทยมากว่า 13 ปี

ตั้งแต่ยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มี “บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” นั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม “บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” เป็น ผบ.ทบ. มาสู่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมี “บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็น ผบ.ทบ.

ก่อนที่รัฐประหารปี 2557 จะผลักดันให้ “แผงอำนาจ 3 ป.” ผงาดขึ้นพร้อมกัน

7 ปีผ่านไป ดูเหมือน “อาถรรพ์เลข 7” จะเริ่มออกฤทธิ์ จนเกิดศึกสายเลือดระหว่าง “3 นายพล – 1 ผู้กอง”

อย่างที่ทราบ ภาวะปริร้าวเริ่มต้นขึ้นใน “ศึกซักฟอก” ต้นเดือนกันยายน ที่เกิด “ขบวนการล้มนายกฯ” ขึ้นกลางสภา นำไปสู่คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ปลด “ผู้กองธรรมนัส” และ “ดร.แหม่ม นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ออกจาก ครม.ชนิดฟ้าผ่า

พร้อมๆ กับการเล่นเกม “หักหน้า” กันระหว่าง “2 ป. ประยุทธ์-ประวิตร”

ต่อมา ดูเหมือนสถานการณ์ในพรรคพลังประชารัฐจะคลี่คลายไปสู่ภาวะ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ตามยุทธวิธีทางการทหาร ผ่าน 2 คลัสเตอร์อำนาจ คือ “ทีมจันทร์โอชา” และ “ขั้ววงษ์สุวรรณ” โดยทั้งหมดยังอยู่ภายใต้ร่มเงา “3 ป.”

แม้จะมีการ “วัดพลัง” ผ่านการลงพื้นที่ต่างจังหวัดอยู่เนืองๆ

ทว่า ทั้งๆ ที่ “แผลเก่า” ยังไม่แห้งสนิท “แผลใหม่” ก็พลันบังเกิดขึ้นแบบสดๆ หลัง 6 รัฐมนตรีขั้วตรงข้าม ร.อ.ธรรมนัส จับกลุ่มเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อเปิด “ปฏิบัติการบีบผู้กอง” ให้พ้นพรรค

ชนวนเหตุมาจาก “โพลธรรมนัส” ที่ถูกมองว่าเป็นการ “ตีเมืองขึ้น-ดึงตัว ส.ส.” ในพื้นที่เลือกตั้งโซนภาคใต้-กทม.

ท้ายสุด หัวหน้าพรรคเช่นบิ๊กป้อมจึงต้องมานั่งหัวโต๊ะเคลียร์ปัญหาในการประชุมกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ พร้อมบทสรุปที่กำหนดให้ผู้กองธรรมนัสปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการพรรคต่อไป

แม้ พล.อ.ประวิตรจะพยายามประนีประนอม ด้วยการสั่งให้ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ไปจัดทำ “พิมพ์เขียว” ในการปรับโครงสร้างพรรค เพื่อปรับสมดุลอำนาจภายในพลังประชารัฐครั้งใหม่

แต่นี่ก็เป็นข้อยืนยันถึงความพ่ายแพ้ทางการเมืองอีกหนของเครือข่าย พล.อ.ประยุทธ์

ทั้งนี้ มีการมองถึงสาเหตุที่ พล.อ.ประวิตรเลือกอุ้ม ร.อ.ธรรมนัสเอาไว้ แม้จะเจอแรงเสียดทานภายใน และต้องขัดใจกับนายกฯ

ประการแรก หากไม่มีผู้กองธรรมนัส บิ๊กป้อมก็จะอยู่ในสภาวะ “ขาลอย” เนื่องจากขั้ว “4 ช.” ที่เคยเข้มแข็งได้ถูกสลายพลังไปเกือบหมดแล้ว

ประการถัดมา ร.อ.ธรรมนัสยังมี ส.ส.อยู่ในมือจำนวนหนึ่ง จึงเป็นขุมพลังสำคัญของพรรค

ประการสุดท้าย ผู้กองคนดังนั้นกุม “ความลับทางการเมือง” หลายเรื่องเอาไว้ ในฐานะ “เส้นเลือดใหญ่รัฐบาล” ดังที่เขาเคยกล่าวอ้าง ดังนั้น การตัดขาดกับ ร.อ.ธรรมนัสจึงเท่ากับเป็นการ “ผลักมิตรไปเป็นศัตรู”

ล่าสุด ศึกในพรรคพลังประชารัฐได้ลุกลามมาถึง “สนามเลือกตั้งเมืองกรุง” เมื่อ “บิ๊กแป๊ะ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” อดีต ผบ.ตร.คนดัง ประกาศ “ถอนตัว” จากการชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.

ทำให้มีการโยงไปถึงมหากาพย์ “ศึกสีกากี” ในอดีต ระหว่างบิ๊กแป๊ะกับ “บิ๊กโจ๊ก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล” ผู้ช่วย ผบ.ตร.

กาลครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ พล.อ.ประยุทธ์เคยออกคำสั่งปลดบิ๊กโจ๊ก แล้วโอนมาเป็นข้าราชการพลเรือนสังกัดสำนักนายกฯ แต่แล้วก็ต้องมีการยอมโอน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติหลังยุคบิ๊กแป๊ะ เมื่อนายพลหนุ่มไม่ยอมแพ้ สู้คดีถึงขั้นฟ้องร้องศาลปกครอง

ใน สตช.ยุคของ “บิ๊กปั๊ด พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” แผงอำนาจขั้วบิ๊กโจ๊กจึงกลับมาผงาดอีกครั้ง

เรื่องของยุทธจักรสีกากีมาพัวพันกับ ร.อ.ธรรมนัส ก็เพราะมีกระแสข่าวว่าผู้กองธรรมนัสจะจับมือกับ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์เพื่อสถาปนา “ขั้วอำนาจใหม่” ที่ปทุมวัน

ผ่านการผลักดันบรรดา นรต.รุ่น 41 หรือ ตท.25 ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ให้ขึ้นตำแหน่งหลัก ผ่านการผลักดันของบิ๊กโจ๊ก ผู้เป็น นรต.47 หรือ ตท.31

แม้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์จะออกมาปฏิเสธเรื่องข่าวลือดังกล่าว อีกทั้งในปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ยังมานั่งเก้าอี้ประธาน ก.ตร. เพื่อควบคุมการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจด้วยตนเอง

แต่ก็ว่ากันว่าความขัดแย้งข้างต้นคือปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตผู้ว่าฯ เมืองหลวง โดยมีพรรคพลังประชารัฐให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

พร้อมกระแสข่าวว่า อดีต ผบ.ตร.อาจเปลี่ยนใจหันมาลงเล่นการมืองสนามใหญ่แทน

 

ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัสคงต้องยึดเก้าอี้เลขาธิการพรรคใหญ่เช่นพลังประชารัฐต่อไป เพราะการย้ายไปอยู่รังใหม่ที่เล็กกว่า ย่อมส่งผลให้ “อำนาจ-บารมี” หดหายตามไปด้วย

หลังก่อนหน้านี้มีข่าวว่าพรรคประชาธิปไตยใหม่ หนึ่งใน “พรรคเล็กเครือข่ายผู้กอง” ประกาศจะทาบทาม “จุ๊บจิ๊บ-ธนพร ศรีวิราช” คู่ชีวิตของผู้กองธรรมนัส ไปเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรค

แม้ “ผู้กอง-จุ๊บจิ๊บ” จะรีบออกมาปฏิเสธ แต่ของแบบนี้ไม่มีไฟคงไม่มีควัน เนื่องจากอดีตนางสาวไทยชาวพะเยาเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประชาธิปไตยใหม่มาก่อนจะลาออกไปเป็นข้าราชการการเมือง ประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ

อีกทั้ง “สุรทิน พิจารณ์” หัวหน้าพรรค ก็เคยเป็น “มือทำงาน” ของ ร.อ.ธรรมนัส สมัยนั่งเก้าอี้ รมช.เกษตรฯ

อย่างไรก็ตาม รอยร้าวระหว่าง “3 นายพล – 1 ผู้กอง” ก็มีสัญญาณที่ดีขึ้นบ้าง หลังนายกฯ ลงนามแต่งตั้ง “เฮียใช้-นิโรธ สุนทรเลขา” ส.ส.นครสวรรค์ ขึ้นเป็น “ประธานวิปรัฐบาล” แทนที่ “วิรัช รัตนเศรษฐ” ซึ่งต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. จากคดี “สนามฟุตซอล”

แม้นิโรธจะถูกมองว่าเป็นนักการเมือง “สายบิ๊กตู่” ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกับ “เสธ.” ข้างกายนายกฯ บนตึกไทยคู่ฟ้า แต่อีกด้าน ก็มีรายงานว่าเขาเป็นคนที่บิ๊กป้อมยอมเปิดไฟเขียว เพราะผ่านการพิจารณาของผู้กองธรรมนัสมาแล้ว

ส.ส.จากปากน้ำโพจึงเป็นชื่อที่ทุกฝ่ายในพลังประชารัฐไว้ใจ และพูดตรงกันว่าเป็นคนที่ “ประนีประนอม” ได้กับทุกก๊ก

 

“แผงอำนาจ 3 ป.” ต่างตระหนักดีว่า หากยังปล่อยให้ปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐคุกรุ่นคาราคาซังไม่มีวันจบ ทั้งหมดก็จะถึง “จุดเสื่อม” และ “พัง” ไปด้วยกันในศึกเลือกตั้งครั้งหน้า

ด้วยเหตุนี้ “2 ป.” จึงต้องเดินด้วยกันต่อไป โดยบิ๊กป้อมเป็นแม่ทัพดูแล ส.ส. ส่วนบิ๊กตู่ทำหน้าที่เป็นตัวชู “กระแสนิยม” ให้พรรค ท่ามกลางโจทย์การเมืองที่แหลมคมขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อสองพรรคใหญ่ฝ่ายค้าน “เพื่อไทย-ก้าวไกล” เปิดเกมเรื่องการปฏิรูปประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พลังประชารัฐจึงต้องนำเอา “กระแสบิ๊กตู่” ไปผนวกกับ “พลังบ้านใหญ่-เจ้าพ่อหัวเมือง” ในแต่ละพื้นที่

ดังนั้น แม้สายสัมพันธ์ระหว่าง “3 นายพล – 1 ผู้กอง” จะยังมี “แผลในใจ” อยู่ลึกๆ แต่ทุกฝ่ายก็มีท่าที “รอมชอม” ต่อกันมากขึ้น

กระนั้นก็เกิดคำถามว่า นี่เป็นการประนีประนอมเพียง “ระยะสั้นๆ” หรือไม่? เมื่อ “ความไว้วางใจ” ใน “ระยะยาว” ยากจะหวนย้อนคืนมา

แต่ในสนามการเมืองนั้น “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” ถ้าหากสามารถ “เกลี่ยผลประโยชน์” กันได้ลงตัว มิหนำซ้ำ ฝั่ง “3 ป.” เอง ก็ยังมี “อาวุธลับ” ระดับชี้เป็นชี้ตายอยู่ในมือเช่นกัน

ทางแพร่ง “3 นายพล – 1 ผู้กอง” ในพรรคพลังประชารัฐยามนี้ หากเคลียร์ไม่จบ “ทัพหลวง” ก็จะ “ติดหล่ม” ไปไหนต่อไม่ได้