เผยแพร่ |
---|
ทำไมคำพูดในเรื่อง”สวดมนต์”จากปาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระหว่างเดินทางไปกรวดน้ำท่วมที่สุโขทัยจึงกลายเป็น”ประเด็น”ก่อให้เกิด”ไวรัล”อย่างกว้างขวาง ลึกซึ้งในโลก”ออนไลน์”
ทั้งๆที่คำพูดในเรื่อง”สวดมนต์”ครั้งนี้มิได้เป็นหนแรก ทั้งๆที่กคำพูดในเรื่อง”สวดมนต์”แทบมิได้เป็นเรื่องแปลกอย่างประหลาดแต่ อย่างใดหากมองจากความเคยชิน
เพราะเมื่อเผชิญเข้ากับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็พูดถึงเรื่อง”สวดมนต์”ทั้งเป็นการประโลมใจชาวบ้านและตนเอง
แล้วเหตุใดการเน้นย้ำคำพูดว่าด้วย”สวดมนต์”ระยะหลังจึงกลายเป็นข้อถกเถียงและลำลึกลงไปในกระบวนการของการเยาะเย้ยถากถาง
ราวกับว่าเป็นคำพูด”ไร้สาระ” ราวกับว่าเป็นเรื่องน่าอับอาย
สภาพการณ์เช่นนี้สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอันนำไปสู่การเปรียบเทียบอย่างแหลมคมยิ่งในทาง”ความคิด”
ไม่ว่าจะมองด้าน”ความเชื่อ” ไม่ว่าจะมองด้าน”ศาสนา”
ความน่าสนใจอยู่ที่ไม่เพียงแต่”ชาวบ้าน”เท่านั้นจะรู้สึกว่าคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเรื่องน่าหัวเราะ แทบไม่มีความหมาย อะไรในทางเป็นจริง
เพราะแม้กระทั่ง”พระสงฆ์”เองก็ออกมาโพสต์ภาพและข้อความอย่างเยาะเย้ย เสียดสี
นั่นเพราะว่าก่อนหน้านี้เคยมีพระจำนวนหนึ่งออกมาให้ความเห็นต่อกรณีของ”สารวัตรโจ้ เฟอร์รารี่” และก็ตามมาด้วยพระ เหล่านั้นตั้งวงฉัน”ชาบู”ในยามวิกาล
ยิ่งกว่านั้น เมื่อเกิดน้ำไหลหลากท่วมไปอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าอาราม ไม่ว่าพระก็ประสบความเดือดร้อนไม่ต่างไปจากชาวบ้าน
ทั้งที่พระก็”สวดมนต์”อยู่แล้วเป็นประจำแทบทุกวัน
ถูกต้องแล้วที่มีความพยายามอธิบายว่า คำพูดในเรื่อง”สวดมนต์” จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเรื่องในทางจิตวิทยาเป็นการปลอบใจในยามทุกข์ร้อนลำเค็ญจากภัยธรรมชาติ
แต่การ”สวดมนต์”ย่อมมิใช่วิธีการบริหารจัดการอย่างแน่นอน
นี่คือการปะทะระหว่าง”ความเชื่อ”กับสภาพ”ความเป็นจริง”ที่ชาวบ้านประสบและรับรู้ด้วยตนเอง
เป็นการปะทะในทาง”ความคิด”อันส่งผลในทาง”การเมือง”