อนุสรณ์ ติปยานนท์ : In Books We Trust (31) หนังสือชื่อเดียว (3)

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์ / [email protected]

 

In Books We Trust (31)

หนังสือชื่อเดียว (3)

 

สิ้นสุดความพยายาม เขาคิดถึงการกลับที่พัก บ่ายจรดเย็นวันนี้เขามีนัดกับบรรณาธิการส่วนตัวของเขา แต่เขาไม่มีกำลังใจไปพบตามนัดอีกต่อไป การถูกปฏิเสธจากหญิงสาวผู้นั้น การถูกปฏิเสธจากคนที่แม้เขาอาจไม่รู้สึกผูกพันด้วยทว่ากลับทำให้เขาเกิดความเจ็บปวดอย่างสุดแสน

เขาคิดถึงการโทรศัพท์ไปยกเลิกนัด กระนั้นเขาก็พบว่าไม่เพียงแต่เขาลืมหยิบหนังสือติดมือมา แม้แต่โทรศัพท์ส่วนตัวเขาก็ลืมหยิบติดมือมา

เขาตัดสินใจกลับบ้าน เขาคิดถึงการอาบน้ำอุ่น ชงกาแฟร้อนที่ไม่ใช่รสกาแฟปร่าที่เขาดื่มเมื่อครู่

เขาคิดถึงกระดาษสีขาวที่เขาจะใส่ตัวอักษรลงไป

เขาคิดถึงภาพเหล่านั้นแล้วเขาก็รู้สึกอบอุ่นใจ

เขาคิดถึงภาพเหล่านั้นแล้วเขาก็รู้สึกปลอดภัย ในวันนี้โลกภายนอกดูราวกับไม่เป็นมิตรต่อเขาเลย

หลังจากพึ่งพารถรับจ้าง เขาได้กลับถึงบ้านในที่สุด เขาเปิดประตูบ้าน เก็บรองเท้าเข้าที่ วางหนังสือสามเล่มไว้บนโต๊ะ ทิ้งตัวลงบนโซฟา เขานั่งถอนหายใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตรงไปชำระร่างกาย

หลังจากนั้นเขาต้มน้ำร้อน ชงกาแฟสำเร็จรูประดับพรีเมี่ยม ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อยืดตัวเก่าเนื้อนุ่มและกางเกงขายาวที่ทำจากผ้าฝ้าย

เขาหยิบกระดาษขาวขนาดเอสี่ วางลงบนโต๊ะ เติมหมึกในปากกาหมึกซึมจนเต็ม และลงมือเขียนหนังสือ

ในฐานะของนักเขียนคนหนึ่ง เขารู้สึกว่างานเขียนหนังสือเป็นอาชีพที่ดี

มันอาจมีความเหนื่อยล้าบ้าง แต่เขาจัดการมันได้

มันอาจมีความเงียบเหงาบ้าง แต่เขาจัดการมันได้

มันอาจมีความฝืดเคืองอยู่บ้าง แต่กระนั้นเขาก็จัดการมันได้ ไม่มีอะไรที่แตกต่างจากอาชีพอื่น ไม่มีปัญหาอะไรที่แตกต่างจากอาชีพอื่น

สิ่งที่แตกต่างมีเพียงประการเดียวคือเขารักและหลงใหลในงานเขียน

หากจะมีอาชีพใดให้เลือกเขาคงเลือกอาชีพเขียนหนังสือ

หากจะมีทางเลือกจากใครที่หยิบยื่นมาให้เขาเลือก เขาย่อมเลือกการเขียนหนังสือ

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขารู้แน่แก่ใจ งานเขียนและการเขียนคือสิ่งที่เขาได้เลือกแล้วในชีวิต

 

ราวสองชั่วโมงที่เขานั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ บ่ายวันนั้นช่างเป็นวันที่ราบรื่นเป็นพิเศษ เขาเริ่มต้นที่บทที่สองต่อเนื่องจากบทที่หนึ่งที่เขาเขียนทิ้งไว้เนิ่นนานแล้ว

นวนิยายรักพื้นๆ ของคู่รักที่พลัดพรากกันไปหลังสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย การห่างไกลกันไปนานนับสิบปีทำให้ทั้งคู่เมื่อพบกันอีกครั้ง ต่างคล้ายเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน

แต่กระนั้นการเป็นคนแปลกหน้ากลับเป็นเรื่องราวที่ดี พวกเขาหลงลืมความบาดหมางในอดีต พวกเขาฝังกลบความเจ็บปวดที่มีต่อกันและกัน พวกเขาสมานบาดแผลแห่งความปวดร้าว พวกเขาสร้างดินแดนแห่งการให้อภัยซึ่งกันและกัน

แต่แม้จะเลื่อนผ่าน ก้าวข้ามความเจ็บปวดดังกล่าวได้แล้ว คำถามคือพวกเขาจะเริ่มต้นใหม่ได้อย่างไร

เราอาจหลงลืมความเจ็บปวดที่มีต่อกันไปแล้ว

เราอาจละทิ้งความโกรธเกลียดขุ่นข้องหมองใจไปแล้ว

แต่เรายังรักกันอยู่ไหม เรายังมีความต้องการกันอยู่ไหม สิ่งนี้คือแก่นสารคำถามในตัวละคร

พวกเขาวนเวียนถามคำถามที่ว่านี้กับตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดบทที่สองซึ่งมีความยาวนับสิบหน้า

 

เขาหยุดพักการเขียนชั่วครู่ แสงแดดยามบ่ายตกลงมาต้องโต๊ะทำงาน เขาลุกออกจากโต๊ะทำงาน เปิดตู้เย็น ดื่มน้ำเย็นหนึ่งแก้ว ครั้นแล้วเขาก็รู้สึกอยากดื่มกาแฟอีก เขาต้มน้ำร้อน ชงกาแฟสำเร็จรูปอีกแก้ว

แต่ครานี้แทนการนั่งทอดหุ่ยบนโซฟา เขาตรงไปที่ชั้นหนังสือของเขาและหยิบหนังสือหนึ่งเล่มออกมานั่งอ่านเป็นการผ่อนคลาย

ถึงแม้ว่าเขาจะอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวมาหลายครั้งหลายรอบแล้วก็ตาม ทว่าการอ่านครั้งนี้ทำให้เขาเพลิดเพลินอย่างยิ่ง

เรื่องราวของชายหนุ่มที่มีนามว่า เกรเกอร์ ซัมซ่า ผู้กลายร่างเป็นแมลงขนาดใหญ่ วิถีชีวิตที่พลิกผันและเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตา ทำให้ชายหนุ่มผู้นั้นหมุนคว้างอยู่ท่ามกลางความงงงวยและสิ่งที่ไม่คาดฝัน เมื่อแขนขากลายเป็นอวัยวะของแมลง เมื่อหลังไหล่เต็มไปด้วยเปลือกและครีบ

อะไรคือสิ่งที่เขาต้องเผชิญ?

เขาใช้เวลากับหนังสือราวหนึ่งชั่วโมงก่อนจะกลับคืนสู่โต๊ะเขียนหนังสือ ในครานี้เขาดัดแปลงให้หญิงสาวเข้าสู่พิธีแต่งงานในทันทีหลังจบการศึกษา

ความผิดหวังจากคู่รักทำให้เธอปรารถนาที่จะใช้ชีวิตใหม่ในทันที

ความผิดหวังจากคู่รักทำให้เธอตัดสินใจเลือกเส้นทางใหม่ในทันที

ทว่าสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามการคาดหวัง ชีวิตคู่ของเธอเลวร้ายและล้มเหลวลง

ในปีที่สิบเธอตัดสินใจแยกทางกลับมาใช้ชีวิตของตนเองอีกครั้ง

และในครานี้เธอได้พบกับคนรักเก่าอีกครั้งหนึ่ง

ตัวหนังสือของเขาแสดงอาการ แสดงความหมาย แสดงท่วงท่าที่ชัดเจนว่าทั้งคู่ยังคงรักใคร่กันอยู่ ทั้งคู่ยังมีความปรารถนาซึ่งกันและกันอยู่

ชายหนุ่มนัดหญิงสาวเพื่อพูดคุยรื้อฟื้นความหลังที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง

แต่แล้วบทสนทนากลับไม่เดินหน้า ทั้งคู่จมอยู่กับความเงียบ ใช้เวลาที่มีนั้นให้อภัยซึ่งกันและกัน

 

อีกสองชั่วโมงที่เขาจมอยู่กับการเขียนจนแสงแดดหมดลง เขาลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือ เก็บกระดาษใส่แฟ้ม เขียนชื่อที่แฟ้มว่า “Untitle” ก่อนจะเก็บแฟ้มเข้าที่

เมื่อเสร็จสิ้นการกระทำดังกล่าว เขาก็พบว่าเขาลืมโทรศัพท์หาบรรณาธิการของตนเอง มันเป็นเวลาที่ล่วงเลยจากเวลานัดไปมากแล้ว ป่วยการที่จะไปยังสถานที่นัด เขาหยิบโทรศัพท์มือถือส่วนตัวก่อนจะพบว่าแบตเตอรี่ของมันหมดลง เครื่องดับสนิท เขาเสียบสายเครื่องชาร์จเข้ากับตัวเครื่อง ตรงไปที่โทรศัพท์ประจำบ้าน

เขาตั้งใจจะใช้โทรศัพท์ประจำบ้านโทร.หาบรรณาธิการของเขาตั้งแต่แรกเริ่ม หากแต่เขาก็หลงลืมไปสิ้น เขาพบว่าโทรศัพท์ประจำบ้านถูกถอดสาย เขาเองเป็นผู้กระทำเช่นนั้น แม้จะยังมีมันอยู่ แต่มันแทบไม่มีความจำเป็น ดังนั้น เขาจึงมักถอดสายโทรศัพท์เสมอเพื่อป้องกันการถูกรบกวน

ดังนั้น หากบรรณาธิการจะโทร.หาเขาคงไม่มีทางใดๆ เขายักไหล่ ความผิดพลาดคือความผิดพลาด อย่างน้อยหวังว่าคำขอโทษที่เขาจะเล่าให้ฟังน่าจะพอผ่อนบรรเทาได้บ้าง

การให้อภัยกันคือสิ่งสำคัญที่สุดในความสัมพันธ์ของผู้คน

เขารู้สึกหิว ภายในตู้เย็นมีผักสองสามชนิดที่พอทำสลัดได้ หากแต่เขากลับรู้สึกว่าตนเองต้องการอาหารที่จริงจังกว่านี้ เขาตัดสินใจออกจากบ้านอีกครั้ง ในครานี้เขาเลือกร้านอาหารใกล้บ้านที่คุ้นเคย เขาไม่ต้องการขบคิดอะไรให้มากเกินไป การเขียนและงานเขียนในวันนี้ทำให้เขาอ่อนเพลียเป็นที่สุด

เขาตรงไปที่ร้านอาหารเลือกที่นั่งที่มุมเดิม พนักงานในร้านแทบทุกคนรู้จักเขาจนแทบไม่ต้องเอ่ยปาก น้ำมะนาวโซดาเป็นเครื่องดื่มที่จะถูกวางที่โต๊ะเมื่อเขาไปถึง ข้าวผัดพร้อมด้วยซุปเป็นสิ่งที่จะติดตามมา

แต่ในเย็นวันนั้นเมื่อเขานั่งลงที่โต๊ะตัวเดิม พนักงานในร้านนำเมนูมาให้เขาและยืนรอคำสั่ง พวกเขาทำท่าทางราวกับไม่เคยพบเห็นเขามาก่อน

เขาสั่งมะนาวโซดา ข้าวผัดและซุป พนักงานจดสิ่งเหล่านั้นลงในใบสั่งอาหารและจากไป

พวกเขาไม่สนใจเขาราวกับเขาเป็นลูกค้ารายใหม่

 

เครื่องดื่มที่เป็นมะนาวโซดาถูกนำมาให้เขา เขาดื่มมันในรวดเดียวและพบว่าตนเองแทบไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มอะไรเลยในวันนั้นนอกจากกาแฟร้อน

เขามองไปรอบๆ ร้าน มีครอบครัวหนึ่งมากับลูกชายและลูกสาว และที่โต๊ะไม่ไกลนักเป็นชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังสนทนากันด้วยความเงียบ ผู้ชายใช้ช้อนกาแฟคนแก้วไปมา ในขณะที่ผู้หญิงเหม่อมองไปนอกร้าน

ทั้งคู่ช่างเป็นตัวละครที่เขานึกภาพไว้ในนวนิยายที่เขาเพิ่งเขียนถึงแต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการเป็นตัวแทนของบุคลิกลักษณะของตัวละครคือการที่เขารู้จักชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นั้นเป็นอย่างดี

หญิงสาวผู้นั้นเป็นหญิงสาวคนเดียวกับที่มีนัดกับเขาในช่วงเช้าที่ผ่านมา

เป็นหญิงสาวผู้เดียวกันกับที่เดินสวนเขาบนท้องถนนในช่วงเที่ยงวัน

ส่วนชายหนุ่มนั้นคือบรรณาธิการส่วนตนของเขา บรรณาธิการที่ควรจะได้พบกับเขาในวันนี้หากเขาจะไม่ลืมการนัดหมายที่มี

อาหารของเขามาถึงแล้ว แต่เขากินมันอย่างไร้รสชาติเป็นที่สุด เขาต้องการเพียงแค่อิ่มท้อง หลังจากนั้นเขาจะเดินไปหาคนทั้งคู่ ทักทายและเริ่มบทสนทนาที่ไขทุกสิ่ง เขาไม่อาจจมอยู่กับปริศนาที่ว่านี้ได้ ทั้งคู่รู้จักกันได้อย่างไร ทั้งคู่รู้จักกันมานานเพียงใดแล้ว เขาอยากรู้เรื่องราวเหล่านั้น เขาอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด

ดังนั้น เมื่ออาหารคำสุดท้ายจบสิ้นลง เขาวางเงินค่าอาหารไว้บนโต๊ะและตรงไปที่โต๊ะของคนทั้งคู่ เขาเอ่ยทักทาย ทว่าหญิงสาวและชายหนุ่มคู่นั้นส่ายศีรษะและแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่รู้จักเขา

ก่อนที่จะเป็นตัวตลกมากกว่านั้น เขาออกจากร้านตรงกลับไปที่บ้าน เขาหยิบโทรศัพท์มือถือโทร.หาบรรณาธิการส่วนตัวแต่เบอร์โทรศัพท์เบอร์นั้นยังไม่เปิดใช้งาน เขาลองดูอีกสองสามครั้งแต่ผลลัพธ์ยังเป็นเช่นเดิม

เขาตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เขาจะไปที่สำนักพิมพ์ หากบรรณาธิการจะเสเเสร้งทำเป็นไม่รู้จักเขาในร้านอาหาร นั่นย่อมกระทำได้ เขาอาจมีเหตุผลของเขา แต่ที่สำนักพิมพ์บรรณาธิการย่อมไม่อาจซ่อนความลับต่อไปได้อีก

เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า ชำระร่างกาย ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ ก่อนจะหยิบนวนิยายเรื่อง “เมตามอร์ฟอร์สิส” ของฟรานซ์ คาฟก้า ขึ้นอ่านอีกครั้งหนึ่ง แต่นาทีแรกที่เขาเปิดมันขึ้นอ่านเขาก็พบความผิดปกติ แม้เนื้อหาภายในเล่มจะเป็นเรื่องราวเดียวกับที่เขาเคยอ่านมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ชื่อหนังสือของมันกลับเป็นชื่อเดียวกับหนังสืออีกสามเล่มที่เขาซื้อมา

เขาถลันไปที่ชั้นหนังสือ หยิบหนังสือแต่ละเล่มขึ้นพิจารณา

ก่อนจะพบว่าหนังสือทุกเล่มล้วนมีชื่อเดียวกัน