ศรราม น้ำเพชร ผู้ไม่เคย ‘ไม่ไหว’ และ ‘ไม่ยอมแพ้’/รายงานพิเศษ

รายงานพิเศษ

 

ศรราม น้ำเพชร

ผู้ไม่เคย ‘ไม่ไหว’ และ ‘ไม่ยอมแพ้’

 

“ไม่ได้อยากเริ่มต้นที่แสดงลิเกเลยครับ” แบงค์-ศรราม เอนกลาภ หรือ ‘ศรราม น้ำเพชร’ ของแฟนๆ เผยความรู้สึกอย่างชัดเจน ไม่ปิดบัง

“ตอนเด็กๆ อยากเป็นทหาร เป็นนักมวย” พระเอกลิเกคนดังเล่า แล้วว่า ก็ประสาเด็กที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยนั่นแหละ แต่เมื่อได้รับการถ่ายทอดศาสตร์ของการแสดงลิเกจากครอบครัว ได้เริ่มแสดงตั้งแต่ 4 ขวบ มีคณะลิเกศรราม น้ำเพชร ตอน 7 ขวบ จากนั้นก็แสดงเรื่อยๆ ไม่ได้หยุดจนอายุ 24 ปี ณ ปัจจุบัน เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองไม่เหมาะกับอาชีพอื่นใด และตั้งใจจะเอาดีทางนี้ไปเรื่อยๆ

“แสดงมานานมากเลย 10 กว่าปี ถามว่าเหนื่อยไหม ตอนนี้บอกเลยว่าไม่เหนื่อย รู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับประสบการณ์ กับความรักที่ได้รับจากแฟนคลับ” ศรรามบอก

ทั้งยังว่า ถ้าเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน แม้จะยอมรับเรื่องไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตวัยเด็กเหมือนเพื่อนร่วมรุ่น แต่ “ในมุมหนึ่งแบงค์ได้เปรียบ” เขาบอก

เพราะไหนจะได้ทั้งทำงาน ได้เที่ยว ไปโน่นมานี่ในคราวเดียวกันแล้ว “ยังโชคดีตรงที่พอเกิดมา คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้มีสมบัติที่หาไว้ แต่มีอาชีพให้ แล้วก็มีแฟนคลับ มีคนรักเยอะ”

“เลยทำให้มีศรราม น้ำเพชร มาจนถึงทุกวันนี้”

กับคำ ‘เต้นกินรำกิน’ ศรราม น้ำเพชร บอกว่าเขาเองก็เคยได้ยิน และไม่คิดว่าเป็นการดูถูก เพราะ “จริงๆ เขาก็พูดถูก”

“ลิเกก็ต้องร้อง ต้องรำ ถูกไหมครับ”

ยิ่งไปกว่านั้น ในความรู้สึกของเขา “แบงค์รู้สึกว่าลิเกมันเท่ แล้วรู้สึกว่าแบงค์เกิดมาเพื่อสิ่งนี้”

“หลายคนมองว่าลิเกล้าสมัย แต่ปัจจุบันคือไม่ใช่ ลิเกมีการปรับตัวให้เข้ากับปัจจุบันมากขึ้น เหมือนกับละครเรื่องหนึ่ง หนังเรื่องหนึ่ง ลิเกก็เหมือนกันครับ แค่ว่าลิเกเท่ตรงที่เราใส่รากเหง้าของความเป็นไทย วัฒนธรรมไทย นำเสนอในการขับร้องกลอน รำโชว์ แล้วบางเรื่องก็มีสอดแทรกข้อคิดต่างๆ ด้วย”

กับคำว่า ‘ลิเกเงินล้าน’ เจ้าของฉายาฟังแล้วยิ้ม จากนั้นจึงบอก “จริงๆ อยากรวยเหมือนฉายามาก”

“แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร”

“ฉายานี้แฟนคลับตั้งให้ ดูดีมากเลย อาจจะด้วยก่อนหน้านี้แบงค์มีงานจ้างตลอดทั้งปี ก็เลยมองว่าน่าจะมีเยอะ”

แต่จริงๆ แล้วคือมีครอบครัวใหญ่ต้องดูแล และยังรวมไปถึงทีมงานอีกนับร้อย นี่ยังไม่ต้องพูดถึงจำนวนงานหลายๆ งานที่แสดงเสร็จแล้ว โดนเจ้าภาพเท ไม่จ่ายเงิน แต่ครอบครัวของเขาก็ตัดสินใจนำเงินส่วนตัวออกจ่าย เพื่อไม่ให้คนอื่นๆ ต้องทำงานฟรี

“ทุกวันนี้ฐานะเลยพอมีพอกิน”

ในส่วนรายได้ของคณะ ศรรามบอกว่าเขาเองไม่ทราบรายละเอียดนัก เพราะก่อนหน้านี้พ่อของเขาเป็นผู้ดูแลหลัก

“ส่วนตัวแบงค์เองก็เก็บในเรื่องรางวัลน้ำใจจากแฟนคลับมากกว่า”

น้ำใจที่มีมาตลอดทุกครั้งที่แสดง ซึ่งจะได้มากหน่อยก็ในวันเกิดของเขา

“หกหลัก เกือบเจ็ดหลักเหมือนกันครับ” เขาแจ้งจำนวนพลางยิ้ม

ศรราม น้ำเพชร ซึ่งช่วงชีวิตตอนเด็กครอบครัวเคยยากลำบาก มีหนี้สิน และ “ตอนแรกๆ ที่ไปแสดง เราต้องไปรถสองแถวนะครับ แต่งหน้าที่บ้านแล้วก็ขึ้นรถสองแถวไปงาน”

แน่นอนว่าเหนื่อย แต่ “สนุก” ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่า “เจอลม เจอพายุคุ้มครับ กับการใช้ชีวิตวัยเด็ก”

“ไม่เคยบอกตัวเองว่าไม่ไหวแล้ว” เขาเล่าอีก

“มีแต่พูดว่าเหนื่อย เพลียกับการทำงาน อากาศมันร้อน แต่พอกลับมานอน ตื่นมาอีกวันก็หายเหนื่อย พร้อมที่จะใช้ชีวิตทำงานวันต่อๆ ไป”

“เป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว”

 

ในส่วนความสำเร็จที่ได้รับ ศรรามบอกว่า ไม่เคยคิดเลยว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพราะความสามารถส่วนตัว ที่รู้สึกว่าก็คือ “เกิดมาจากคำสั่งสอนของคุณพ่อคุณแม่ แล้วก็อาชีพลิเกที่คุณพ่อคุณแม่มีให้ กับแรงผลักดัน แรงสนับสนุนจากแฟนคลับ”

เรื่องพรสวรรค์ที่คนมักโยงใย “แบงค์ก็เชื่อว่าแบงค์มี โดยสายเลือดของลิเกแท้ๆ” แต่แม้จะเป็นอย่างนั้นเรื่องพรแสวงก็สำคัญไม่แพ้กัน

“มันเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนเกิดมา แล้วอยู่ดีๆ รำได้ถูกต้องทุกอย่าง อินเนอร์ เทคนิคต่างๆ ทุกอย่างเกิดจากการฝึกฝน แล้วก็ประสบการณ์ที่สั่งสม”

ในฐานะลิเกที่เดินทางไปแสดงมาแล้วทั่วไทย ศรราม น้ำเพชร บอกว่า ในความเห็นของเขาลิเกมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ทั้งในส่วนของการแต่งกาย ทั้งการดำเนินเรื่อง

“ปัจจุบันคนไทยชอบดูอะไรที่คลายเครียด แต่ก็ไม่ได้ทุกพื้นที่ครับ บางที่อย่างจังหวัดเพชรบุรี จะชอบดูลิเกที่ดราม่า ร้องเยอะ รำเยอะๆ แต่ถ้าไปทางแถบอ่างทอง สุพรรณบุรี จะชอบดูที่สนุกๆ ขำๆ เฮฮา”

“ตอนนี้แบงค์อยากทำลิเกที่ร้องเป็นภาษาอังกฤษ” เขาเผยความคิด

“คือรู้สึกว่าทำไมโขนไทยยังไปไกลระดับโลกได้เลย ลิเกไทยก็น่าจะไปได้ อยากให้ชาวต่างชาติได้รู้จักกับลิเก รู้จักกับเสน่ห์ของลิเกมากยิ่งขึ้น”

“แล้วก็อยากไปแสดงในต่างประเทศ ที่แบบว่าโรงละครใหญ่ๆ สักที่หนึ่ง”

“ให้ชาวต่างชาติได้อึ้งกันไปเลย”