ศาลปกครองสูงสุด ไม่รับคำร้องบีทีเอสฟ้อง รฟม.-ลุยเดินหน้าประมูลสายสีส้มต่อ เตรียมขายซองประกวดราคาได้ได้ภายในต.ค.64 เคาะผล เม.ย.65

วันที่ 1 กันยายน 2564 นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ รฟม. เปิดเผยว่า ศาลปกครองกลาง อ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด คดีที่บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีทีเอส ฟ้องร้องคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 (คณะกรรมการมาตรา36) และรฟม. ว่ากระทำละเมิด ต่อผู้ฟ้องคดี กรณีประกาศยกเลิกการประกวดราคาใน โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์)(ส้มตะวันตก) วงเงิน 1.2 แสนล้านบาท และขอให้ชะลอการเปิดประกวดราคาครั้งใหม่

โดยศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น ไม่รับคำร้องของผู้ฟ้องคดีที่อ้างว่า คณะกรรมการม.36 และ รฟม.ทำละเมิด ทำให้คดีเรื่องของการห้ามเปิดประมูลใหม่ถึงที่สุดแล้ว รฟม.จึงมีความชอบธรรมในการเดินหน้าเปิดประมูล ครั้งใหม่ชี้ให้เห็นว่าที่ผ่านม รฟม.ได้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

ทั้งนี้ถือว่าคดีเรื่องฟ้องให้ชะลอการประมูลใหม่จบแล้ว รฟม.จะเดินหน้าต่อ ส่งร่างประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนให้ คณะกรรมการมาตร36 พิจารณา จะใช้เวลาในการพิจารณา 2-3 ครั้ง ในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.64 คาดว่าจะเปิดขายเอกสารประกวดราคาได้ในเดือนต.ค.64 และให้เวลาเอกชนที่สนใจทำข้อเสนอ 90 วัน และยื่นข้อเสนอในเดือนม.ค.65 จากนั้นจะใช้เวลาพิจารณาข้อเสนอและเจรจาต่อรองกับเอกชนรายที่ให้ประโยชน์สูงสุด คาดว่าเดือนเม.ย.ปี 65 จะสามารถนำเสนอผลการคัดเลือกเอกชนที่ชนะการประมูลให้ คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบต่อไป ส่วนหลักเกณฑ์การคดเลือกยังไม่สามารถเปิดเผยหรือชี้นำได้ เพราะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการตามมาตรา36

“หาก ครม.เห็นชอบในเดือนเม.ย.65 รฟม.จะเร่งเจรจาให้ผู้ชนะการประมูลลดระยะเวลาในการก่อสร้างลง เพื่อชดเชยความล่าช้าที่เกิดขึ้นจากคดีฟ้องร้อง ทั้งนี้เพื่อให้เป้าหมายการเปิดเดินรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงตะวันออกสามารถเปิดบริการได้ทันในต้นปี68 และเปิดเดินรถตลาดสายทางได้ในช่วง ไตรมาสที่ 3 ของปี 70”

สำหรับคดีของรถไฟฟ้าสายสีส้มนั้น ขณะนี้มีคดีที่ค้างอยู่ในศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอาญาจำนวน 1 คดี กรณีที่บีทีเอส ยื่นฟ้อง โดยอยู่ระหว่างการไต่สวนมูลฟ้อง โดยศาลยังไม่มีการรับคำฟ้องแต่อย่างใด รวมทั้งคดีฟ้องรฟม.ทำละเมิดขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 5 แสนบาท ก็ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี