ถุงดำการเมือง : ภายในรัฐบาลประยุทธ์-พรรคร่วม-พรรคเดียวกัน ต่างพร้อม”คลุมหัว” คนกันเอง ?

บทความในประเทศ

‘ถุงดำ’ การเมือง

ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวนี้

น่าสังเกตว่า แต่ละพรรคต่างถูกมองว่ามี “ถุงดำ”

ถุงดำที่เตรียมไว้เพื่อเผด็จศึกฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตัวเองอย่างน่าสนใจ

เริ่มจากพรรค ‘เพื่อไทย’ ที่น่าสังเกตว่า ครั้งนี้ตั้งใจจัดหนักมากกว่าครั้งอื่นๆ

ทั้งในและนอกสภา

ในสภา ก็ใช้–ยุทธการ “หยุดยุทธ์ หยุดโอหัง คลั่งอำนาจ หยุดความพินาศของประเทศ”

มีเป้าหมายชัดเจน ที่ไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์บริหารราชการที่ผิดพลาดล้มเหลวอีกต่อไป

ประสานกับเกมนอกสภา ที่พรรคเพื่อไทยเปิดแคมเปญ “ลงมติประชาชน รวมพลไล่ประยุทธ์” ผ่าน https://www.change.org/prayutgetout

ดึงให้ประชาชนมีส่วนร่วมแสดงออกในการอภิปรายไม่ไว้วางใจจากประชาชนอีกทาง

ขณะที่พันธมิตรทางการเมืองนอกสภา ไม่ว่ากลุ่มคาร์ม็อบ ที่แปรสภาพมาเป็นกลุ่มดีเดย์ ภายใต้การนำของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็นัดชุมนุมคู่ขนานการซักฟอกในวันที่ 2 กันยายน

เช่นเดียวกับ “ลุงโทนี่” นายทักษิน ชินวัตร ที่ออกมาเคลื่อนไหวชน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยตรง ด้วยการร่วมซักฟอกผ่านคลับเฮาส์

สะท้อนถึงการขับเคลื่อนเข้าชนฝ่ายผู้มีอำนาจในทุกช่องทาง

ทั้งนี้ เมื่อตั้งใจให้เป็นศึกใหญ่ พรรคเพื่อไทยก็จัดแถวในพรรคเข้มข้นเช่นกัน

โดยสั่งบังคับให้ ส.ส.ทุกคนต้องปฏิบัติตามติพรรคอย่างเคร่งครัด โดยทุกคนต้องลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีทั้ง 6 คน

หากคนใดฝ่าฝืนไม่มาประชุมเพื่อลงมติ หรือลงมติที่ผิดไปจากนโยบายของพรรค จะถือว่ากระทำการผิดวินัยและจริยธรรมของพรรคอย่างร้ายแรง

มีโทษถึงขั้นให้พ้นจากสมาชิก

โดยพรรคจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด

ถือเป็นกฎเหล็กที่งัดออกมาใช้

ตอกย้ำว่าพรรคเพื่อไทยเอาจริงกับศึกซักฟอกครั้งนี้

และหวังจะมีผลเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังศึกซักฟอกครั้งนี้อย่างมีนัยสำคัญด้วย

โดยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ประกาศว่า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี

และยังมองไกลไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าว่าพรรคเพื่อไทยมีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว

“หากเปิดชื่อออกมา เชื่อว่าจะเป็นที่ถูกใจ พอใจคนทั้งประเทศ” นายประเสริฐระบุ

อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่าขณะที่พรรคเพื่อไทยมุ่งใช้ “ถุงดำทางการเมือง” คลุม พล.อ.ประยุทธ์ ถึงขนาดเตรียมคนมาชิงตำแหน่งแทนแล้วนั้น

แต่พรรคเพื่อไทยก็ถูกมองว่า มีความพยายาม “สามัคคี” ส่วนอื่นในพรรคพลังประชารัฐ

โดยเฉพาะการไม่ยอมแตะต้อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค

ดูเสมือนเป็นการ “เจาะรู” ทางการเมืองเผื่อไว้ในอนาคตด้วย

กล่าวคือ หาก พล.อ.ประยุทธ์บอบช้ำหรือเกิดถอดใจไม่ไปต่อ

พรรคพลังประชารัฐภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตรและ ร.อ.ธรรมนัส ก็อาจผ่อนคลาย “ความต่างขั้ว” ทางการเมืองลง

เพราะทั้ง พล.อ.ประวิตรและ ร.อ.ธรรมนัส ล้วนมีอดีตที่ผูกพันกับคนในพรรคเพื่อไทย รวมถึงคนที่อยู่ดูไบด้วย

ดังนั้น ปรากฏการณ์ทั้งการ “ละเว้น” ไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประวิตรและ ร.อ.ธรรมนัส

หรือปรากฏการณ์ “พูดเป็นเสียงเดียวกัน” ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เปลี่ยนไปใช้ระบบบัตร 2 ใบ และ ส.ส.เขต 400 ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 100

เหล่านี้ ทำให้มีการมองว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐมีระยะที่ห่างระหว่างกัน “ลดลง”

และยังมองว่า อาจมีความเคลื่อนไหวลึกๆ ทางการเมืองในอนาคต คือมีการ “เผด็จศึก” ส่วนหัวในรัฐบาล

แต่ก็อาจมีการสามัคคีส่วนพรรคระหว่างพลังประชารัฐกับเพื่อไทย

ซึ่งจริงหรือไม่ คงต้องจับตามองกันต่อไป

เพราะการเมืองอย่างที่ทราบ ไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร

“ถุงดำ” การเมือง เพื่อใช้กำจัดฝ่ายตรงข้าม อีกใบหนึ่งที่กำลังถูกจับตา นั่นก็คือในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลเอง

โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ดูจะระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ

เพราะอาจถูกเพื่อนใช้ถุงดำทางการเมืองคลุมหัว

ด้วยทั้งหัวหน้าพรรค คือนายอนุทิน ชาญวีรกูล และเลขาธิการพรรค นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ต่างถูกยื่นซักฟอก

จึงต้องการความมั่นใจจากพรรคร่วม โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ว่าจะมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

จะมาแตกแถวอย่างกลุ่มดาวฤกษ์ ที่ไม่ยกมือสนับสนุนให้นายศักดิ์สยาม อย่างในศึกซักฟอกครั้งที่แล้วไม่ได้

สิ่งที่นายอนุทินและนายศักดิ์สยามกังวลก็คือ จะกลายเป็นแพะรับบาปทางการเมือง โดยเฉพาะหากผลการลงคะแนนซักฟอกออกมาไม่ดี

อาจจะมีการฉวยโอกาสจากพรรคพลังประชารัฐ เสนอให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี ดึงเอากระทรวงสาธารณสุข และคมนาคม มาดูแลแทน

เราจึงได้เห็นนายอนุทินและนายศักดิ์สยามรุดเข้าหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนศึกซักฟอกระเบิดขึ้น

ขณะเดียวกัน มีกระแสข่าวว่า นายเนวิน ชิดชอบ ต้องออกโรงมาช่วยด้วยการโทรสายตรงหา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพื่อขอความมั่นใจว่าจะได้รับการสนับสนุน

แม้ว่าในเวลาต่อมา นายอนุทินออกมาแก้ว่า เป็นคนโทรศัพท์ไปหา พล.อ.ประวิตรเอง ไม่ใช่นายเนวิน

“โทรเช็กกันว่าเรียบร้อยหรือไม่ พล.อ.ประวิตรบอกว่าให้เชื่อพี่คนเดียว ไม่ต้องคุยกับใคร เราต่างเป็นหัวหน้าพรรคด้วยกันก็ต้องเชื่อกัน ถ้าไม่เชื่อหัวหน้าพรรคแล้วจะไปเชื่อใคร” นายอนุทินบอก

และแจงว่า ที่เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็นการแชร์ข้อมูลเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

สอดคล้องกับนายศักดิ์สยามที่ระบุว่าการเข้าพบนายกฯ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เป็นการไปปรึกษากันตามปกติ

ซึ่งแม้จะย้ำว่า ทุกอย่าง “ปกติ” และ “ให้เชื่อพี่คนเดียว” ก็ตาม

แต่พรรคภูมิใจไทยก็คงต้องระวังตัวแจ ไม่อาจประมาท “ถุงดำทางการเมือง” ที่อาจจะมีมือดีย่องเข้ามาคลุมหัวได้

เช่นเดียวกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะไม่ใช่เป้าใหญ่ที่ถูกจ้องถล่ม

แต่ก็ต้องจับกระแสใกล้ชิด ด้วยอาจมี “ถุงดำ” จากมือลึกลับแอบมาคลุมหัวจนหายใจไม่ออกก็ได้!

ไม่ต่างกับสถานการณ์ในพรรคพลังประชารัฐ ที่ดูเหมือนจะสบายๆ กับศึกซักฟอกครั้งนี้

แต่เอาเข้าจริงแล้ว ในมือของคนในพรรคพลังประชารัฐ ก็ถูกมองว่า ถือถุงดำเพื่อคลุมหัวใครบางคนด้วยเช่นกัน

ด้วยก่อนศึกซักฟอกจะเกิดขึ้น

มีกระแสข่าวแกนนำพรรคพลังประชารัฐบางคนพยายามเดินสายล็อบบี้ กดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ต้องปรับคณะรัฐมนตรี มิเช่นนั้นจะล็อบบี้ให้ ส.ส.พรรคเล็กโหวตไม่ไว้วางใจ

และยังเคลื่อนไหวให้ ส.ส.โหวตคว่ำรัฐมนตรีอย่างน้อย 2 คน

คือ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)

และเตรียมกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ปรับนางตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พ้นเก้าอี้รัฐมนตรีด้วย โดยอ้างว่าไม่มีผลงาน

แล้วเปิดทาง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแรงงานแทนนายสุชาติ

ให้นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แทนนางตรีนุช

ส่วนนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีดีอีเอส แทนนายชัยวุฒิ

รายงานข่าวที่หลุดออกมาระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ไลน์ไปสอบถาม พล.อ.ประวิตร ถึงกระแสข่าวใช้เสียงพรรคเล็กโหวตคว่ำนายกฯ เพื่อกดดันให้ปรับคณะรัฐมนตรี รวมถึงการพลิกขั้วทางการเมือง

ซึ่ง พล.อ.ประวิตรได้นำข้อความในไลน์ไปอ่านให้ ส.ส.ที่เข้าร่วมประชุมฟัง

ที่ตอนหนึ่งระบุว่า “ทำไม ส.ส.ถึงไม่สนับสนุนผม มีเหตุผลอะไร ผมผิดอะไร แล้วถ้าจะไม่สนับสนุน จะหาใครมาเป็นนายกฯ ผมทำงานเหนื่อยขนาดนี้ แล้วจะให้ใครมาเป็น”

เมื่ออ่านข้อความในไลน์เสร็จ พล.อ.ประวิตรได้กล่าวกับ ส.ส.ว่า ที่นายกฯ ต้องถาม เพราะตอนนี้มีข่าวการเคลื่อนไหวของ ร.อ.ธรรมนัส นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พปชร. และนายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร และรองเลขาธิการพรรค พปชร.

“ขอให้ทุกคนเข้มแข็งและโหวตให้รัฐมนตรีทั้ง 6 คนเท่ากัน ส่วนเรื่องการจ่ายเงินให้พรรคเล็กนั้น ยืนยันว่าไม่มีการจ่ายเงิน 10 ล้าน โกหกสร้างราคา ไม่จ่าย และขออย่าให้ใครไปจ่ายด้วย พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีปัญหา เรื่องนายศักดิ์สยามเดี๋ยวผมจัดการเอง” รายงานข่าวระบุคำกล่าวของ พล.อ.ประวิตรที่มีท่าทีขึงแข็งเป็นพิเศษ

รายงานข่าวยังระบุอีกว่า กลุ่มบุคคลที่ตกเป็นข่าวเคลื่อนไหวก็มี อาทิ ร.อ.ธรรมนัส นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พปชร. และนายไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร และรองเลขาธิการพรรค

ซึ่งในเรื่องดังกล่าว ร.อ.ธรรมนัสได้เปิดใจในวงหารือของ พล.อ.ประวิตร รัฐมนตรีและผู้บริหารพรรค โดยปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องตามที่เป็นข่าว

แต่ยอมรับว่า ได้รับความคิดเห็นจาก ส.ส.หลายคนที่ไม่พอใจถึงการทำงานของรัฐมนตรี

โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ลอยตัวไม่เห็น ส.ส.ในสายตา

จึงเห็นว่าควรปรับเปลี่ยนโดยดึงโควต้ากระทรวงมหาดไทยให้กลับมาเป็นของพรรค เพราะไม่ตอบสนองต่อสังคม

“วันนี้รัฐมนตรีของพรรคทุกคนมีผลงานอะไรบ้างที่จะไปใช้หาเสียงกับประชาชนว่าเป็นผลงานของพรรค พปชร. มองไปแล้วไม่มีเลย สำหรับผมเป็นรัฐมนตรีเหมือนไม่ได้เป็น ไม่มีงบฯ ไม่มีอะไรเลย” รายงานข่าวอ้างถึงคำกล่าว ร.อ.ธรรมนัส

ด้าน พล.อ.ประวิตรรับฟังโดยไม่ได้แสดงความเห็น โดยเฉพาะเมื่อมีการพูดถึง พล.อ.อนุพงษ์ พร้อมแสดงความมั่นใจว่าเสียงโหวตไม่น่ามีปัญหาอะไร

แต่หลังจากนั้น จะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา น่าสนใจยิ่ง

โดยเชื่อว่าน่าจะมีอาฟเตอร์ช็อกติดตามมาอย่างแน่นอน แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์จะยืนกรานไม่ปรับ ครม. หรือยุบสภาก็ตาม

สะท้อนว่า ภายในรัฐบาล พรรคร่วม หรือแม้กระทั่งภายในพรรคเดียวกัน

ต่างฝ่ายต่างมี “ถุงดำการเมือง” อยู่ในมือฝ่ายละหลายๆ ใบ

และพร้อมจะนำออกมาใช้ “คลุมหัว” ฝ่ายตรงข้าม หรือแม้กระทั่งคนกันเอง

โดยมีตำแหน่ง และอำนาจ ที่หอมหวนและไม่เข้าใครออกใครเป็นเดิมพัน!!