แซ็งเต็กซูเปรีรำลึก (1)/บทความพิเศษ วัลยา วิวัฒน์ศร

บทความพิเศษ

วัลยา วิวัฒน์ศร

 

แซ็งเต็กซูเปรีรำลึก (1)

 

ในปี พ.ศ.2512 เมื่อผู้เขียนบทความได้ไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำในหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาโท ผู้เขียนเรียนอาจารย์ว่าสนใจจะศึกษาเกี่ยวกับแซ็งเต็กซูเปรี

อาจารย์ได้ตอบว่า “เสียใจ มาดมัวแซล ไม่มีหัวข้อเกี่ยวกับแซ็งเต็กซ์เหลือให้ทำอีกแล้ว ทุกซอกทุกมุมทุกเรื่องเกี่ยวกับแซ็งเต็กซ์เป็นหัวข้อวิทยานิพนธ์ปริญญาโทและปริญญาเอกไปหมดแล้ว จงไปหาดูนักประพันธ์คนอื่นที่คิดว่าตนเองพอจะชอบแล้วค่อยมาใหม่”

แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน ผู้เขียนก็ยังจำคำของอาจารย์ได้ดี

จะเห็นได้ว่าในวงการศึกษานั้น แซ็งเต็กซูเปรีเป็นนักประพันธ์ยอดนิยมมาแต่ไหนแต่ไร

 

อ็องตวน เดอ แซ็งเต็กซูเปรี (ค.ศ.1900-1944) เป็นนักบิน-นักประพันธ์ซึ่งเป็นที่รู้จักดีทั่วโลก การดำเนินชีวิตของเขาเป็นตัวอย่างที่บุคคลหนึ่งพึงกระทำในยุคบุกเบิกการบินในเวลากลางคืนและในยามสงคราม

เขาชอบการบินแต่เล็กและได้ขึ้นเครื่องบินเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 12 ขวบ

ต่อมาเขาทำงานเป็นช่างเครื่องเรือบินแทนการเกณฑ์ทหาร ได้เข้าทำงานในบริษัทเรือบินน้ำที่เมืองตูลูส (Compagnie G?n?rale a?ronautique de Toulouse) มีหน้าที่ช่วยเหลือนักบินที่ประสบปัญหาระหว่างการบินในแถบประเทศโมริทาเนีย ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของทวีปแอฟริกาเหนือ

ต่อมาบริษัทได้ส่งเขาไปรับผิดชอบเปิดสาขาของบริษัทชื่อ อาเอโรโปสตาล (A?ropostale) ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา

ประสบการณ์ในการทำงานเป็นข้อมูลในการเขียนนวนิยายเรื่องแรก ไปรษณีย์ใต้ (Courrier Sud) ตีพิมพ์ปี ค.ศ.1929

นวนิยายเรื่องนี้พูดถึงความอุตสาหะของนักบินที่จะส่งไปรษณียภัณฑ์จากเมืองตูลูส ในประเทศฝรั่งเศส ไปยังเมืองคาซาบลังกา ประเทศโมร็อกโก และยังเมืองดาการ์ ประเทศเซเนกัล ในทวีปแอฟริกา

ในนวนิยายนอกเหนือจากการบรรยายสภาพความเป็นจริงของทะเลทรายและเส้นทางคาซาบลังกา-ดาการ์ด้วยร้อยแก้วอันไพเราะดั่งบทกวี

ผู้อ่านยังชื่นชอบการกล่าวถึงเครื่องมือ อากัปกิริยาของช่างเครื่องซึ่งก็คือนักบินขณะใช้เครื่องมือเหล่านั้น ตลอดจนศัพท์เทคนิคที่เกี่ยวข้อง

เมื่อนวนิยายเรื่องแรกนี้ประสบความสำเร็จ แซ็งเต็กซ์จึงหันมาสนใจงานประพันธ์มากขึ้น และทำการบินด้วยตนเองน้อยลง

ในปี ค.ศ.1931 นวนิยายเรื่อง เที่ยวบินรัตติกาล (Vol de Nuit) ได้รับรางวัลเฟมินา

นวนิยายเรื่องนี้ว่าด้วยการบุกเบิกการบินในเวลากลางคืนเพื่อให้การขนส่งไปรษณียภัณฑ์เป็นไปด้วยความรวดเร็ว

เป็นงานประพันธ์ที่ก้าวพ้นขนบนวนิยาย นำเสนอเรื่องราวในฐานะพยานหลักฐานและการคิดนึกตรึกตรองเรื่องภาระหน้าที่ ความกล้าหาญ ตัวตนของนักบินกับการมีชีวิตและกับความตาย

อีกทั้งความขัดแย้งระหว่างความสุขในชีวิตครอบครัวกับภาระหน้าที่การบิน

ในปี ค.ศ.1939 แผ่นดินของเรา (Terre des Hommes) ได้รับรางวัลนวนิยายยอดเยี่ยมจากราชบัณฑิตยสภาฝรั่งเศส (le Grand Prix du roman de l’Acad?mie fran?aise)

บทความอัตชีวประวัติเล่มนี้ว่าด้วยความคิดคำนึงและโลกทัศน์ของผู้แต่งอันเนื่องจากเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเขา

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมิตรภาพระหว่างเพื่อนมนุษย์โดยไม่คำนึงถึงสีผิว เผ่าพันธุ์หรือเชื้อชาติ

เรื่องการตระหนักและการตื่นตัวในความเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่รู้จักสร้างความสัมพันธ์ฉันเพื่อนในคณะทำงาน

มนุษย์ที่เข้าใจว่าความรักในเพื่อนมนุษย์คือพื้นฐานของสันติสุขในโลก

ผู้อ่านจะจำคำพูดที่ว่า “โมสาร์ทได้ถูกฆ่าไปเสียแล้ว” (Mozart assassin?) ในหน้าสุดท้ายของหนังสือได้เป็นอย่างดี

คำพูดนี้อยู่ในบริบทที่ว่า โลกปัจจุบันกำลังพินาศด้วยลัทธิวัตถุนิยมซึ่งไม่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้แสดงอัจฉริยภาพที่อาจจะซ่อนอยู่ในตัวของเขาออกมาได้

ในตู้รถไฟชั้นสามในยามดึก ผู้เล่าเรื่องยืนมองดูบรรดากรรมกรชาวโปแลนด์ซึ่งถูกส่งตัวกลับประเทศนั่งเบียดเสียดยัดเยียดหลับอยู่ เขาได้เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งซุกตัวหลับอยู่ระหว่างพ่อและแม่

“เด็กน้อยพลิกตัว ฉันจึงได้เห็นใบหน้าของเขาภายใต้แสงไฟสลัว โอ ใบหน้านั้นช่างงามน่ารัก สายพันธุ์ของหญิงชายคู่นี้เป็นประหนึ่งผลไม้ทอง เด็กน้อยผู้ก่อกำเนิดจากผ้าขี้ริ้วหนาหนักกลับเป็นความสำเร็จที่น่าประทับใจและสูงส่ง ฉันก้มลงพินิจหน้าผากเรียบ ริมฝีปากน้อยๆ ที่ยื่นมาชวนให้สัมผัส ฉันบอกตนเองว่า นี่คือใบหน้าของนักดนตรี นี่คือโมสาร์ทในวัยเด็ก นี่คือสัญญาอันสวยสดแห่งชีวิต เจ้าชายน้อยๆ ทั้งหลายในเทพนิยายไม่ได้ต่างไปจากเด็กคนนี้ ถ้าเขาได้รับการดูแล เอาใจใส่ และได้เล่าเรียน เขาจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นในอนาคต เมื่อเกิดกุหลาบพันธุ์ใหม่ขึ้นในสวน คนทำสวนก็จะตื่นเต้นดีใจ เขาจะแยกกุหลาบนั้นออก ประคบประหงมเป็นพิเศษ แต่ไม่มีคนทำสวนสำหรับมนุษย์ โมสาร์ทในวัยเด็กคนนี้ก็จะเหมือนคนอื่นๆ ที่ถูกกลืนหายไปในเครื่องจักร โมสาร์ทจะเล่นได้ก็แต่ดนตรีเลวๆ ในบรรยากาศอับๆ ตามคาเฟ่ที่มีการแสดงดนตรี โมสาร์ทถูกตัดสินประหารเสียแล้ว…”

“…สิ่งที่ทรมานใจฉันนั้นไม่อาจรักษาได้ด้วยอาหารที่ให้เป็นทานแก่ผู้ยากไร้ สิ่งที่ทรมานใจฉันนั้นไม่ใช่กระเพาะที่ว่างเปล่าด้วยความหิวโหย ไม่ใช่หลังที่ค้อมด้วยงานหนัก ไม่ใช่ความจนอันน่าเกลียดน่าชังนี้ แต่คือความเป็นโมสาร์ทในมนุษย์แต่ละคนที่ได้ถูกฆ่าไปเสียแล้ว”