อัฟกานิสถาน : การกลับมาของฏอลิบาน (3)/มุมมุสลิม จรัญ มะลูลีม

จรัญ มะลูลีม

มุมมุสลิม / จรัญ มะลูลีม

 

อัฟกานิสถาน

: การกลับมาของฏอลิบาน (3)

 

กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐมีความห่วงใยชาวอัฟกันที่เคยช่วยเหลือสหรัฐทำสงครามโดยสหรัฐหวั่นว่าคนเหล่านี้กำลังตกอยู่ภายใต้การลงโทษของกองกำลังฏอลิบานพวกเขาจึงไม่อาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังได้

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้โฆษกของฏอลิบาน ซึ่งเข้าครองกรุงคาบูลได้อย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมายยืนยันจะไม่มีการแก้แค้นใดๆ สำหรับผู้ที่เคยทำงานให้กับกองกำลังของสหรัฐ

เมื่อเขาตัดสินใจในเดือนเมษายน (2021) เพื่อให้ปิดฉากสงครามของสหรัฐในอัฟกานิสถานลงไป ประธานาธิบดี Biden ให้เวลากระทรวงกลาโหมถึงวันที่ 11 กันยายนเพื่อถอนทหารให้แล้วเสร็จ นายพล Scot Miller ซึ่งดูแลกรุงคาบูลได้จบภารกิจของเขาไปแล้ว ทั้งนี้ยุทโธปกรณ์ทางทหารก็ถูกขนย้ายไปหมดแล้วเช่นกันเหลือเพียงทหารอีกจำนวนไม่มาก (รวมทั้งทหารที่ส่งมาใหม่อีก 2,000 คน เพื่อดูแลการอพยพชาวอเมริกันทั้งหมดให้มีความราบรื่น) หากเทียบเคียงกับจำนวนทหารนับแสนนายที่เคยพำนักอยู่ที่นี่

ตัวของ Miller เองก็จะออกจากอัฟกานิสถานไปในเร็ววัน

 

ภาพจำของการสิ้นสุดสงคราม

ในอดีตมีภาพจำว่าด้วยการสิ้นสุดสงครามในแต่ละพื้นที่ให้เห็น แต่ภาพเหล่านั้นจะไม่เหมือนกับอัฟกานิสถานในเวลานี้เพราะส่วนใหญ่สงครามมักจะจบลงด้วยความชื่นมื่นของฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ

หากแต่ฏอลิบานไม่ได้แสดงออกถึงชัยชนะจนถึงขั้นมีการเฉลิมฉลองในเบื้องต้นให้เห็นแต่อย่างใด

สงครามโลกครั้งที่ I จบลงด้วยการสงบศึกจากการลงนามยอมรับความพ่ายแพ้ของเยอรมนีในเดือนพฤศจิกายน 1918 อันเป็นวันที่มีการเฉลิมฉลองกันทั่วไป ในสหรัฐเรียกวันนี้ว่าวัน Federal Holiday โดยสหรัฐได้ลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซาย

สงครามโลกครั้งที่ II จบลงด้วยการสงบศึกในปี 1945 โดยการยอมแพ้ของเยอรมนี ถือเป็นชัยชนะในยุโรป (Victory in Europe) เรียกว่า V-E Day โดยญี่ปุ่นยอมแพ้ในอีกสองสามเดือนต่อมา ชัยชนะเหนือญี่ปุ่นเรียกว่า V-J Day อันเนื่องมาจากการทิ้งระเบิดของสหรัฐที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ

ในเกาหลีข้อตกลงสงบศึกได้รับการลงนามในเดือนกรกฎาคม ปี 1953 ซึ่งการต่อสู้ได้ยุติลง แม้ว่าในทางเทคนิคสงครามได้เลื่อนออกไปเนื่องจากยังไม่มีการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ

อย่างไรก็ตาม การยุติสงครามในที่อื่นๆ ยังไม่เป็นที่ชัดเจนนัก อย่างเช่นสหรัฐถอนทหารออกจากเวียดนามในปี 1973 ซึ่งหลายฝ่ายพิจารณาว่าเป็นสงครามแห่งความล้มเหลวที่จบลงเมื่อกรุงไซง่อน (Saigon) แตกในอีกสองปีต่อมา

ทั้งนี้ เมื่อกองกำลังทางทหารของสหรัฐออกมาจากอิรักในปี 2011 ก็มีการเฉลิมฉลองการออกจากอิรักเช่นกัน แต่สามปีต่อมาทหารอเมริกันก็กลับมาสร้างกองทัพอิรัก ซึ่งตกอยู่ใต้การโจมตีของกลุ่มไอเอสขึ้นใหม่ให้เข้มแข็งอีกครั้ง

 

สหรัฐชนะหรือแพ้ในอัฟกานิสถาน

ก่อนที่สงครามของสหรัฐในอัฟกานิสถานใกล้จะจบลงภาพที่ผู้คนส่วนใหญ่แลเห็นก็คือยังไม่มีทั้งการยอมแพ้และสัญญาสันติภาพ ไม่มีชัยชนะในท้ายที่สุดและไม่มีความพ่ายแพ้อย่างชัดแจ้ง

แต่เมื่อฏอลิบานเข้าครองกรุงคาบูลได้เมื่อกลางเดือนสิงหาคมหลายฝ่ายก็เริ่มพูดถึงความพ่ายแพ้ของสหรัฐอย่างที่เคยพ่ายแพ้ที่เวียดนามมาแล้วกับหนาหูขึ้น

Biden ได้แต่พูดว่ามันพอแล้วเพราะทหารสหรัฐได้ทำลายกองกำลังอัล-กออิดะฮ์ลงได้ และสังหารอุซามะฮ์ บินลาดิน ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มอัล-กออิดะฮ์ ที่มักจะถือกันว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 11 เดือนกันยายน ปี 2001 ที่เรียกกันว่าเป็นการโจมตีของผู้ก่อการร้าย

อย่างไรก็ตาม อุซามะฮ์ บินลาดิน ได้ปฏิเสธว่าเขาเป็นผู้วางแผนในเหตุการณ์ 9/11 เมื่อเขาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ The Dawn ของปากีสถาน ทั้งๆ ที่เขาบอกว่าเขาเห็นด้วยกับผู้ลงมือกระทำในครั้งนั้น

ก่อนชัยชนะของฏอลิบาน สหรัฐได้พูดคุยกับฏอลิบานมาแล้วที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ โดยมีข้อตกลงกับฝ่ายฏอลิบานว่าพวกเขาจะไม่ทำให้อัฟกานิสถานกลายเป็นพื้นที่สำหรับการโจมตีสหรัฐ โดยการพูดคุยนี้อยู่ในช่วงที่ฏอลิบานกำลังได้เปรียบ และรู้ว่าสหรัฐกำลังถอนทหารออกไป

 

ภารกิจของนาโต้

ภารกิจของนาโต้ (Nato) ในการสนับสนุน ฝึกฝน แนะนำและช่วยเหลือกองกำลังฝ่ายความมั่นคงของอัฟกานิสถานเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2015 และเมื่อการต่อสู้ที่นำโดยสหรัฐได้รับการประกาศว่าได้ยุติลงแล้ว ภาวการณ์เช่นนี้ทหารอัฟกันต้องเป็นผู้รับผิดชอบความมั่นคงของพวกเขาเอง และยังคงต้องขึ้นอยู่กับเงินจำนวนนับพันล้านเหรียญสหรัฐที่สหรัฐมอบให้ต่อปีแก่รัฐบาลอัฟกานิสถาน

เป็นไปได้ว่าเงินก้อนดังกล่าวประธานาธิบดีอัชร็อฟ กอนีย์ ประธานาธิบดีคนท้ายสุดของรัฐบาลอัฟกานิสถานได้นำติดตัวไปด้วยไม่น้อยกว่าห้าพันหกร้อยล้านบาท แม้เขาจะปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริงก็ตาม

กล่าวกันว่าเงินจำนวนนี้กองรวมกันจนล้นเฮลิคอปเตอร์ ก่อนที่จะลี้ภัยไปอยู่สหรัฐเอมิเรตส์ โดยกอนีย์ยืนกรานว่าการลงจากอำนาจของเขาเป็นไปเพื่อมิให้อัฟกานิสถานนองเลือด

ในช่วงที่สงครามในแผ่นดินอัฟกานิสถานขึ้นสู่จุดสูงสุดมีทหารหนึ่งแสนสามหมื่นคนเข้ามาอยู่ในอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มาจากประเทศสหรัฐ รวมทั้งสมาชิกของนาโต้ 50 ประเทศที่เข้าร่วม และประเทศนอกนาโต้อื่นๆ ซึ่งต่อมาจำนวนทหารได้ลดลงเหลือแค่หนึ่งพันคนจาก 36 ประเทศที่สนับสนุนภารกิจนี้ จนถึงเวลานี้ประเทศส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมวงไพบูลย์ในอัฟกานิสถานต่างก็ได้ถอนทหารของพวกเขาออกไปจนจะหมดแล้ว

บางคนบอกว่าสงครามจบลงเมื่อภารกิจของนาโต้ถูกประกาศว่าจบแล้ว แต่ก็อาจต้องใช้เวลาอีกสักเดือนสองเดือนเพื่อให้ภารกิจที่แท้จริงจบลงอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าอัฟกานิสถานจะตกอยู่ภายใต้การปกครองของฏอลิบานแล้วก็ตาม

 

ล่าม 20,000 คนต้องการลี้ภัย

ทำเนียบขาวกล่าวว่าประชาชน 20,000 คนที่ทำงานเป็นล่ามให้ทหารสหรัฐระหว่างสงครามในอัฟกานิสถานได้ทำเรื่องเสนอเพื่อการอพยพออกจากอัฟกานิสถานเป็นทิวแถว ทั้งนี้พวกเขาหวาดกลัวการตอบโต้จากฝ่ายฏอลิบาน ไม่ว่าฏอลิบานจะให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ล้างแค้นพวกเขาก็ตาม พวกเขาก็ยังคงต้องการหนีออกจากอัฟกานิสถาน โดยพวกเขาจำนวนหนึ่งได้เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว

ทั้งนี้ วุฒิสมาชิกสหรัฐผลักดันให้ Biden ช่วยเหลือคนเหล่านี้อพยพออกจากอัฟกานิสถานให้เสร็จสิ้นก่อนกำหนดเวลาในวันที่ 11 เดือนกันยายน

เลขาฝ่ายการพิมพ์ของทำเนียบขาว Jen Psaki กล่าวว่าผู้ต้องการลี้ภัยทางการเมืองเหล่านี้ตกเป็นเป้าการตอบโต้ของฝ่ายฏอลิบาน โดยเธอกล่าวว่าจำนวนของล่ามเหล่านี้มีอยู่ถึงสองหมื่นคน ทั้งนี้ผู้ที่มีหลักฐานการตรวจสอบด้านความมั่นคงแล้วสามารถเข้าไปอยู่อาศัยชั่วคราวที่ฐานทัพของสหรัฐที่อยู่นอกอัฟกานิสถานได้ โดยสหรัฐจะพิจารณาคำร้องของครอบครัวก่อน จากการสำรวจพบว่ามีผู้มีสิทธิลี้ภัยทางการเมืองจากอัฟกานิสถานอยู่ถึงหนึ่งแสนคน

การอพยพได้เริ่มขึ้นแล้วในเวลานี้ก่อนที่ฏอลิบานจะรบชนะและได้เข้าครองกรุงคาบูลตามคำพูดที่มีมาช้านานว่าใครครองกรุงคาบูลได้ก็เท่ากับเข้าครองอัฟกานิสถานได้แล้วนั่นเอง

นอกจากนี้สหรัฐนำโดยวุฒิสมาชิกสองคนคือ Mark Warmer จากพรรคเดโมแครตและ Marco Rubio ประธานและรองประธานคณะกรรมการข่าวกรองของสหรัฐ ได้ขอให้ Biden เร่งขบวนการอพยพให้แล้วเสร็จ ก่อนการถอนทหารของสหรัฐ โดยวุฒิสมาชิกทั้งสองคนเรียกร้องให้ช่วยชาวอัฟกันซึ่งช่วยฝ่ายข่าวกรองของสหรัฐมายาวนานโดยคนเหล่านี้ต้องได้รับความช่วยเหลือ พร้อมๆ ไปกับผู้ที่ช่วยทหารสหรัฐในด้านอื่นๆ เหมือนกัน

เป็นเวลากว่าสองทศวรรษที่ชาวอัฟกันนับพันคนได้เสี่ยงชีวิตเข้าทำงานให้กับฝ่ายข่าวกรองของสหรัฐและประเทศสมาชิกนาโต้อื่นๆ ความพยายามของชาวอัฟกันเหล่านี้สามารถหยุดการขยายตัวของอัลกออิดะฮ์และความสามารถในการโจมตีสหรัฐของกองกำลังฏอลิบานลงได้ระดับหนึ่ง

ในจดหมายถึง Biden วุฒิสมาชิกทั้งสองคนกล่าวว่าสหรัฐมีความสามารถพอที่จะให้การช่วยเหลือชาวอัฟกันที่ช่วยชาวอเมริกันมายาวนาน

“การละเลยคนเหล่านี้ที่คอยให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนชุมชนข่าวกรองของสหรัฐในอัฟกานิสถานจะเป็นการส่งสารที่เลวร้ายถึงพันธมิตรและผู้ทำงานร่วมกับสหรัฐและมีผลต่อความเชื่อถือและความน่าไว้วางใจของสหรัฐ และจะเป็นรอยแผลอยู่ในสามัญสำนึกของเรา”

ทั้งนี้ George Bush อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ ยังมีความหวาดหวั่นว่าล่ามที่ช่วยกองกำลังนาโต้จะถูกทอดทิ้ง “พวกเขาจะถูกทอดทิ้งเพื่อที่จะถูกบดขยี้โดยผู้คนที่โหดร้ายเหล่านี้ ซึ่งทำให้ผมหัวใจสลาย” Bush กล่าว

ทั้งนี้ Bush คือผู้ที่ส่งทหารสหรัฐเข้าไปในอัฟกานิสถาน หลังจากเกิดเหตุการณ์ 9/11